ลักษณะการใช้แสงไฟประดิษฐ์ภายในบ้านแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
แสงไฟพื้นฐาน (Background Light)เป็นแสงไฟหลักที่ให้แสงสว่างเพื่อทดแทนแสงธรรมชาติ เช่น แสงไฟจากดวงโคมติดเพดานไฟติดผนัง เป็นต้น
แสงไฟสำหรับการทำงาน (Task Light) เป็นแสงไฟที่ให้แสงสว่างในจุดที่มีการทำกิจกรรมใด ๆ เป็นพิเศษ หรือบริเวณที่อาจเกิดอันตรายได้ง่าย เช่น แสงไฟจากเคาน์เตอร์ห้องครัวเพื่อช่วยในหารใช้มีดทำอาหาร แสงไฟจากดวงโคมไฟสำหรับโต๊ะทำงาน แสงไฟสำหรับส่องกระจกเงาภายในห้องน้ำ หรือแสงไฟตู้เสื้อผ้า เป็นต้น
แสงไฟสำหรับการเน้นจุดสำคัญในการตกแต่ง (Accent Light)เป็นแสงไฟที่ติดตั้งไว้ในตำแหน่งที่ต้องการ เพิ่มบรรยากาศของห้อง มักเป็นแสงไฟส่องเฉพาะจุด ปรับองศาหรือความเข้มอ่อนของแสงไฟได้ เช่น ไฟส่องรูปภาพ ไฟตกแต่งซ่อนในตู้โชว์ หรือโคมไฟตั้งพื้น เป็นต้น
ส่วนชนิดของหลอดไฟ เราแบ่งได้ดังนี้
หลอดไฟชนิดเผาไส้ หรือหลอดอินแคนเดสเซนต์ (Incandescent Lamp) ลักษณะเป็นกระเปาะแก้วทรงกลม มีขดไส้เล็ก ๆ กลางหลอด ทำหน้าที่ให้แสงสว่าง ข้อดีคือให้แสงเป็นธรรมชาติ เปิดปุ๊ปติดปั๊ป สามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์หรี่ไฟ (Dimmer) ได้และราคาถูก แต่มีข้อเสียตรงที่อายุการใช้งานสั้น ให้ความสว่างไม่มากนัก และปล่อยความร้อนสูงทำให้สิ้นเปลืองค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะหากใช้ในห้องปรับอากาศส่วนใหญ่ เราจึงใช้เป็ฯแสงไฟสำหรับการทำงาน เช่น แสงไฟสำหรับการอ่านหนังสือ หรือใช้สำหรับเน้นบรรยากาศของห้อง เช่น ไฟส่องรูปภาพ หรือไฟซ่อนในตู้โชว์ซึ่งไม่ได้เปิดใช้ตลอดเวลา
หลอดไฟชนิคคายประจุ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า หลดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp) ตัวหลอดเป็นรูปแก้มกลมทรงกระบอกสีขาวขุ่น (มีทั้งชนิดตรงและชนิดกลม)ภายในบรรจุไอปรอทซึ่งเป็นตัวทำปฎิกิริยากับอิเล็กตรอน ทำให้เกิดพลังงานแสงไปกระทบกับสารเคมีเรืองแสงที่เคลือบไว้ด้านในหลอด เกิดเป็นแสงสว่างสีนวลตา มีการกระจายแสงดี ปล่อยความร้อนน้อยกว่า ข้อเสียของหลอดไฟชนิดนี้คือ ไม่สามารถเพิ่ม หรือลดแสงสว่างได้ หากแรงดันไฟฟ้าตกลงหลอดไฟชนิดนี้จะดับทันทีหลอดไฟฟลูออแรสเซนต์ชุดหนึ่งจะประกอบไปด้วยสตาร์ทเตอร์ (Starter) อุปกรณ์ช่วยในการกระตุ้นให้อิเล็กตรอนไหลเข้ามาในหลอดไฟ โดยมีบัลลาสต์ (Ballast) ทำหน้าที่เป็นตัวบังคับกระสไฟที่ผ่านหลอดให้คงที่
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น