ปัจจุบันมีการใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ในการให้แสงสว่างกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากประสิทธิภาพในการให้แสงสว่างสูงถึง 75 ลูเมนต่อวัตต์ในขณะที่หลอดไส้ให้แสงสว่างได้เพียง 12 ลูเมนต่อวัตต์ การต่อวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์เพื่อการใช้งานนั้นโดยทั่วไปใช้อุปกรณ์เสริมอีก 3 อย่างคือ
1.) บัลลาสต์ชนิดขดลวด คือบัลลาสต์ที่มีขดลวดพันอยู่บนแกนเหล็ก มีหน้าที่เพิ่มแรงดันในการจุดหลอดให้ติด และรักษากระแสไฟฟ้าที่วิ่งผ่านหลอดให้เหมาะสมกับขนาดวัตต์ของหลอด
2.) สตาร์ตเตอร์ ช่วยในการเริ่มจุดหลอดฟลูออเรสเซนต์ให้ทำงาน
3.) ตัวเก็บประจุ มีหน้าที่เพิ่มค่าประกอบกำลัง (Power Factor) ของวงจร แต่บางครั้งก็ไม่ใส่ตัวเก็บประจุในวงจรเพื่อลดต้นทุนในการติดตั้ง
บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ (Ballast Electronics) เป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เหมือนกับอุปกรณ์เสริมทั้ง 3 อย่างข้างต้นพร้อมกัน โดยที่บัลลาสต์อิเล็คทรอนิคส์จะสร้างความถี่สูงถึง 50 กิโลเฮิร์ท (kHz) จ่ายให้กับหลอดฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งหลอดฟลูออเรสเซนต์จะตอบสนองความถี่สูงได้ดีกว่าความถี่ 50Hz ที่ใช้อยู่ในบ้าน เป็นผลให้สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ไม่น้อยกว่า 30% และยังยืดอายุการใช้งานของหลอดได้นานกว่า 25% เมื่อเทียบกับการต่อวงจรโดยใช้บัลลาสต์ชนิดขดลวด การใช้บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ยังมีข้อดีอื่นๆอีกเช่นหลอดเปิดติดทันที, แสงสว่างที่ออกมาไม่กระพริบให้รำคาญสายตา, ไม่มีเสียงฮัมรบกวนสมาธิขณะทำงาน, ไม่สะสมความร้อนเหมือนบัลลาสต์ชนิดขดลวดและหลอดยังคงติดแม้แรงดันไฟฟ้าตก
บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ที่จำหน่ายในเมืองไทยจะใช้แรงดันไฟฟ้า 220V ความถี่ 50Hz มีข้อมูลที่สำคัญอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ที่ควรทราบดังนี้
1.) ปริมาณของกระแสขณะทำงาน (Irms และ Ipeak) ปริมาณของกระแสยิ่งน้อยเท่าใดความสูญเสียเนื่องจากความร้อนที่เกิดบนสายไฟก็ยิ่งน้อยลง
2.) ค่าประกอบกำลัง (Power Factor) เป็นค่าที่บอกว่าบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้อยู่สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกระแสและแรงดันให้สอดคล้องกันได้มากน้อยเพียงไร บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณภาพสูงจะมีค่า Power Factor ใกล้เคียง 1.0 ในขณะที่บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์คุณภาพต่ำจะมีค่า Power Factor ต่ำ เมื่อติดตั้งบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีค่าPower Factor ต่ำจำนวนมาก จะทำให้สูญเสียพลังงานไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าและในตัวบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์เอง ซึ่งพลังงานที่สูญเสียนี้จะเป็นสัดสวนผกผันกับค่า Power Factor
3.) ค่า THD (Total Harmonics Distortion) เป็นค่าที่บอกว่าบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้อยู่มีสัญญาณรบกวนความถี่สูงมากน้อยเพียงไร สัญญาณรบกวนความถี่สูงที่เกิดจากบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์จะไหลเข้าไปในระบบไฟฟ้า และจะไหลผ่านหม้อแปลงไฟฟ้าที่มีอยู่ในเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆในบ้านทำให้เกิด
ความร้อนขึ้น มีผลให้อายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านลดลง บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณภาพสูงจะมีค่า THD ต่ำ
ข้อมูลทางไฟฟ้าแสดงคุณภาพของบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ได้ดังนี้
กระแส
Power Factor
THD
บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์
สูง
ต่ำ
สูง
คุณภาพต่ำ
ต่ำ
สูง
ต่ำ
คุณภาพสูง
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552
การใช้ตู้เย็นอย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
ตู้เย็น
การซื้อตู้เย็นนอกจากจะต้องคำนึงถึงราคาแล้ว ควรจะพิจารณาถึงลักษณะและระบบของตู้เย็น เพื่อประหยัดพลังงาน ดังต่อไปนี้1 ควรเลือกซื้อตู้เย็นที่มีสลากประหยัดไฟโดยเป็นสติกเกอร์ติดอยู่ที่ตู้เย็น ซึ่งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ) เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองคุณภาพ โดยกำหนดเป็นตัวเลขดังนี้
เลข 5 ดีมาก
หมายถึง
ประสิทธิภาพสูงสุด
เลข 4 ดี
หมายถึง
ประสิทธิภาพสูง
เลข 3 ปานกลาง
หมายถึง
ประสิทธิภาพปานกลาง
เลข 2 พอใช้
หมายถึง
ประสิทธิภาพพอใช้
เลข 1 ต่ำ
หมายถึง
ประสิทธิภาพต่ำ
2 ควรพิจารณาขนาดให้เหมาะสมกับขนาดครอบครัว ขนาดประมาณ 2.5 ลูกบาศก์ฟุต (คิว) สำหรับสมาชิก 2 คนแรกของครอบครัว แล้วเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 ลูกบาศก์ฟุต ต่อ 1 คน3 ควรเลือกตู้เย็นที่มีฉนวนกันความร้อนหนา และเป็นชนิดโฟมอัด เพื่อไม่ให้มีการสูญเสียความเย็นมาก4 ตู้เย็น 2 ประตูกินไฟมากกว่าตู้เย็นประตูเดียวที่มีขนาดความจุเท่ากัน เนื่องจากใช้ท่อน้ำยาเย็นที่ยาวกว่า แต่ตู้เย็น 2 ประตู จะมีการสูญเสียความเย็นน้อยกว่า5 ตู้เย็นชนิดที่ไม่น้ำเข็งจับจะกินไฟมากกว่าชนิดที่มีปุ่มกดละลายน้ำแข็ง6 ควรเลือกซื้อตู้เย็นที่ใช้กับระบบไฟฟ้า 220-230 โวลต์ เท่านั้น ถ้าใช้ชนิด 110-120 โวลต์จะต้องใช้หม้อแปลงลดแรงดัน ทำให้กินไฟมากขึ้น
วิธีใช้ตู้เย็นให้ประหยัดพลังงาน
1.ก่อนใช้ควรศึกษาคู่มือการใช้และปฏิบัติตามคำแนะนำ2.ตั้งไว้ในที่เหมาะสม ควรตั้งตู้เย็นให้ห่างจากผนังอย่างน้อย 15 เซนติเมตร3.อย่าตั้งใกล้แหล่งความร้อน ไม่ควรตั้งอยู่ใกล้เตาไฟ หรือแหล่งความร้อนอื่น และไม่ควรให้โดนแสงแดด4.ปรับระดับให้เหมาะสมเวลาตั้งตู้เย็นให้ปรับระดับด้านหน้าของตู้เย็นสูงกว่าด้านหลังเล็กน้อย เพื่อเวลาปิดน้ำหนักของประตูตู้เย็นจะถ่วงให้ประตูปิดเข้าไปเอง5. หมั่นตรวจสอบยางขอบประตู ไม่ให้มีรอยรั่วหรือเสื่อมสภาพ6. อย่าเปิดตู้เย็นบ่อย ๆ เมื่อเปิดแล้วก็ต้องรีบปิด7. ละลายน้ำแข็งสม่ำเสมอ เพื่อให้การทำความเย็นมีประสิทธิภาพสูง8. ตั้งสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมกับชนิดและปริมาณอาหารที่แช่ตู้เย็น9. ถอดปลั๊ก กรณีไม่อยู่บ้านหลายวันหรือไม่มีอะไรในตู้เย็น
คำแนะนำด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับตู้เย็น
1.ควรติดตั้งระบบสายดินกับตู้เย็นผ่านทางเต้าเสียบ-เต้ารับที่มีสายดิน2.ใช้ไขควงลองไฟตรวจสอบตัวตู้เย็นว่ามีไฟรั่วหรือไม่ ตู้เย็นที่ไม่มีสายดินนั้นการกลับขั้วที่ปลั๊กอาจทำให้มีไฟรั่วน้อยลงได้3.ตู้เย็นที่ดีควรจะมีสวิตซ์อัตโนมัติปลดออกและสับเองด้วยการหน่วงเวลาเมื่อมไฟดับ-ตก มิฉะนั้นจะต้องถอดปลั๊กตู้เย็นออกทันทีก่อนที่จะมีไฟเข้ามา และจะเสียบปลั๊กเข้าอีกครั้งเมื่อไฟมาปกติแล้ว 3-5 นาที4.หลอดไฟในตู้เย็นถ้าขาด ไม่ควรเอาหลอดออกจนกว่าจะเปลี่ยนใหม่5.อย่าปล่อยให้พื้นบริเวณประตูตู้เย็นเปียก เพราะอาจเป็นสื่อไฟฟ้าอย่างดี ให้ปูด้วยพรมหรือพื้นยางก็ได้ ส่วนบริเวณมือจับก็ควรมีผ้าหรือฉนวนหุ้มด้วย6.ดูข้อควรปฏิบัติในการใช้ไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย
การซื้อตู้เย็นนอกจากจะต้องคำนึงถึงราคาแล้ว ควรจะพิจารณาถึงลักษณะและระบบของตู้เย็น เพื่อประหยัดพลังงาน ดังต่อไปนี้1 ควรเลือกซื้อตู้เย็นที่มีสลากประหยัดไฟโดยเป็นสติกเกอร์ติดอยู่ที่ตู้เย็น ซึ่งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ) เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองคุณภาพ โดยกำหนดเป็นตัวเลขดังนี้
เลข 5 ดีมาก
หมายถึง
ประสิทธิภาพสูงสุด
เลข 4 ดี
หมายถึง
ประสิทธิภาพสูง
เลข 3 ปานกลาง
หมายถึง
ประสิทธิภาพปานกลาง
เลข 2 พอใช้
หมายถึง
ประสิทธิภาพพอใช้
เลข 1 ต่ำ
หมายถึง
ประสิทธิภาพต่ำ
2 ควรพิจารณาขนาดให้เหมาะสมกับขนาดครอบครัว ขนาดประมาณ 2.5 ลูกบาศก์ฟุต (คิว) สำหรับสมาชิก 2 คนแรกของครอบครัว แล้วเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 ลูกบาศก์ฟุต ต่อ 1 คน3 ควรเลือกตู้เย็นที่มีฉนวนกันความร้อนหนา และเป็นชนิดโฟมอัด เพื่อไม่ให้มีการสูญเสียความเย็นมาก4 ตู้เย็น 2 ประตูกินไฟมากกว่าตู้เย็นประตูเดียวที่มีขนาดความจุเท่ากัน เนื่องจากใช้ท่อน้ำยาเย็นที่ยาวกว่า แต่ตู้เย็น 2 ประตู จะมีการสูญเสียความเย็นน้อยกว่า5 ตู้เย็นชนิดที่ไม่น้ำเข็งจับจะกินไฟมากกว่าชนิดที่มีปุ่มกดละลายน้ำแข็ง6 ควรเลือกซื้อตู้เย็นที่ใช้กับระบบไฟฟ้า 220-230 โวลต์ เท่านั้น ถ้าใช้ชนิด 110-120 โวลต์จะต้องใช้หม้อแปลงลดแรงดัน ทำให้กินไฟมากขึ้น
วิธีใช้ตู้เย็นให้ประหยัดพลังงาน
1.ก่อนใช้ควรศึกษาคู่มือการใช้และปฏิบัติตามคำแนะนำ2.ตั้งไว้ในที่เหมาะสม ควรตั้งตู้เย็นให้ห่างจากผนังอย่างน้อย 15 เซนติเมตร3.อย่าตั้งใกล้แหล่งความร้อน ไม่ควรตั้งอยู่ใกล้เตาไฟ หรือแหล่งความร้อนอื่น และไม่ควรให้โดนแสงแดด4.ปรับระดับให้เหมาะสมเวลาตั้งตู้เย็นให้ปรับระดับด้านหน้าของตู้เย็นสูงกว่าด้านหลังเล็กน้อย เพื่อเวลาปิดน้ำหนักของประตูตู้เย็นจะถ่วงให้ประตูปิดเข้าไปเอง5. หมั่นตรวจสอบยางขอบประตู ไม่ให้มีรอยรั่วหรือเสื่อมสภาพ6. อย่าเปิดตู้เย็นบ่อย ๆ เมื่อเปิดแล้วก็ต้องรีบปิด7. ละลายน้ำแข็งสม่ำเสมอ เพื่อให้การทำความเย็นมีประสิทธิภาพสูง8. ตั้งสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมกับชนิดและปริมาณอาหารที่แช่ตู้เย็น9. ถอดปลั๊ก กรณีไม่อยู่บ้านหลายวันหรือไม่มีอะไรในตู้เย็น
คำแนะนำด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับตู้เย็น
1.ควรติดตั้งระบบสายดินกับตู้เย็นผ่านทางเต้าเสียบ-เต้ารับที่มีสายดิน2.ใช้ไขควงลองไฟตรวจสอบตัวตู้เย็นว่ามีไฟรั่วหรือไม่ ตู้เย็นที่ไม่มีสายดินนั้นการกลับขั้วที่ปลั๊กอาจทำให้มีไฟรั่วน้อยลงได้3.ตู้เย็นที่ดีควรจะมีสวิตซ์อัตโนมัติปลดออกและสับเองด้วยการหน่วงเวลาเมื่อมไฟดับ-ตก มิฉะนั้นจะต้องถอดปลั๊กตู้เย็นออกทันทีก่อนที่จะมีไฟเข้ามา และจะเสียบปลั๊กเข้าอีกครั้งเมื่อไฟมาปกติแล้ว 3-5 นาที4.หลอดไฟในตู้เย็นถ้าขาด ไม่ควรเอาหลอดออกจนกว่าจะเปลี่ยนใหม่5.อย่าปล่อยให้พื้นบริเวณประตูตู้เย็นเปียก เพราะอาจเป็นสื่อไฟฟ้าอย่างดี ให้ปูด้วยพรมหรือพื้นยางก็ได้ ส่วนบริเวณมือจับก็ควรมีผ้าหรือฉนวนหุ้มด้วย6.ดูข้อควรปฏิบัติในการใช้ไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สารกึ่งตัวนำและไดโอด
ชื่อหน่วย
แนะนำรายวิชา, สารกึ่งตัวนำและไดโอด
หัวข้อเรื่องและงาน หัว
1.โครงสร้างพื้นฐานของอะตอม
2. วงโคจรของอิเล็กตรอน
3. สารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์
4. สารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์
5. สารกึ่งตัวนำชนิด N (N-Type)
6. สารกึ่งตัวนำชนิด P (P-Type)
7. ไดโอด (Diode)
8. สัญลักษณ์ของไดโอด
9.ไบอัสตรง (Forward Bias)
10. ไบอัสกลับ (Reverse Bias)
11. ลักษณะสมบัติของไดโอด
12. กราฟแสดงลักษณะสมบัติของไดโอด
13. การทดสอบไดโอดด้วยโอห์มมิเตอร์
สาระสำคัญ
สสารต่างๆ ประกอบด้วยโมเลกุลและแต่ละโมเลกุลประกอบด้วยอะตอมหลายๆ อะตอมในอะตอมหนึ่งอะตอมจะประกอบไปด้วยอิเล็กตรอนโคจรอยู่รอบนิวเคลียส ภายในนิวเคลียสยังประกอบไปด้วยโปรตรอนกับนิวตรอน โดยอิเล็กตรอนมีประไฟฟ้าเป็นลบ โปรตรอนมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก นิวตรอนมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า สารกึ่งตัวนำชนิดเอ็น (N-Type) ได้จากการนำสารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์ผสมกับสารที่มีวาเลนซ์อิเล็กตรอน 3 ตัว และสารกึ่งตัวนำชนิดพี (P-Type) ได้จากการนำสารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์ผสมกับสารที่มีวาเลนซ์อิเล็กตรอน 5 ตัว ไดโอดเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้จากการนำสารกึ่งตัวนำชนิดเอ็นและชนิดพีมาต่อชนกัน มีคุณสมบัตินำกระแสไฟฟ้าได้ทิศทางเดียว การจัดแรงไฟให้สารกึ่งตัวนำเรียกว่าการให้ไบอัส ซึ่งการให้ไบอัสมีสองอย่างคือ ฟอร์เวิร์สไบอัส และรีเวิร์สไบอัส
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1.เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกสังเขปรายวิชาได้
2.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้างพื้นฐานของอะตอมได้
3.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายวงโคจรของอิเล็กตรอนได้
4.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายสารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์และสารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์ได้
5.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายสารกึ่งตัวนำชนิด N และ P ได้
6.เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างและสัญลักษณ์ของไดโอดได้
7.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้างรอยต่อของสาร P - N ได้
8.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายคุณสมบัติสมบัติของไดโอดได้
9.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการไบอัสตรงและไบอัสกลับได้
10.เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบหาขาของไดโอดด้วยโอห์มมิเตอร์ได้
11.เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเพื่อวัดหาคุณสมบัติของไดโอดได้
12. เพื่อให้นักเรียนรับผิดชอบต่อหน้าที่13. เพื่อให้นักเรียนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
แนะนำรายวิชา, สารกึ่งตัวนำและไดโอด
หัวข้อเรื่องและงาน หัว
1.โครงสร้างพื้นฐานของอะตอม
2. วงโคจรของอิเล็กตรอน
3. สารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์
4. สารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์
5. สารกึ่งตัวนำชนิด N (N-Type)
6. สารกึ่งตัวนำชนิด P (P-Type)
7. ไดโอด (Diode)
8. สัญลักษณ์ของไดโอด
9.ไบอัสตรง (Forward Bias)
10. ไบอัสกลับ (Reverse Bias)
11. ลักษณะสมบัติของไดโอด
12. กราฟแสดงลักษณะสมบัติของไดโอด
13. การทดสอบไดโอดด้วยโอห์มมิเตอร์
สาระสำคัญ
สสารต่างๆ ประกอบด้วยโมเลกุลและแต่ละโมเลกุลประกอบด้วยอะตอมหลายๆ อะตอมในอะตอมหนึ่งอะตอมจะประกอบไปด้วยอิเล็กตรอนโคจรอยู่รอบนิวเคลียส ภายในนิวเคลียสยังประกอบไปด้วยโปรตรอนกับนิวตรอน โดยอิเล็กตรอนมีประไฟฟ้าเป็นลบ โปรตรอนมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก นิวตรอนมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า สารกึ่งตัวนำชนิดเอ็น (N-Type) ได้จากการนำสารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์ผสมกับสารที่มีวาเลนซ์อิเล็กตรอน 3 ตัว และสารกึ่งตัวนำชนิดพี (P-Type) ได้จากการนำสารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์ผสมกับสารที่มีวาเลนซ์อิเล็กตรอน 5 ตัว ไดโอดเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้จากการนำสารกึ่งตัวนำชนิดเอ็นและชนิดพีมาต่อชนกัน มีคุณสมบัตินำกระแสไฟฟ้าได้ทิศทางเดียว การจัดแรงไฟให้สารกึ่งตัวนำเรียกว่าการให้ไบอัส ซึ่งการให้ไบอัสมีสองอย่างคือ ฟอร์เวิร์สไบอัส และรีเวิร์สไบอัส
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1.เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกสังเขปรายวิชาได้
2.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้างพื้นฐานของอะตอมได้
3.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายวงโคจรของอิเล็กตรอนได้
4.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายสารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์และสารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์ได้
5.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายสารกึ่งตัวนำชนิด N และ P ได้
6.เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างและสัญลักษณ์ของไดโอดได้
7.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้างรอยต่อของสาร P - N ได้
8.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายคุณสมบัติสมบัติของไดโอดได้
9.เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการไบอัสตรงและไบอัสกลับได้
10.เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบหาขาของไดโอดด้วยโอห์มมิเตอร์ได้
11.เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเพื่อวัดหาคุณสมบัติของไดโอดได้
12. เพื่อให้นักเรียนรับผิดชอบต่อหน้าที่13. เพื่อให้นักเรียนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ออปโต้คัปเปลอร์
ชื่อหน่วย
ออปโต้คัปเปลอร์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. โครงสร้างสัญลักษณ์อุปกรณ์เชื่อมต่อทางแสง 2 การทำงานของเชื่อมต่อทางแสง
สาระสำคัญ
อุปกรณ์เชื่อมต่อทางแสง (OPTO ISOLATOR) หรือ ที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ตัวเชื่อมต่อผ่านแสง (OPTO COUPLER) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้การเชื่อมต่อกันทางแสงโดยใช้หลักการเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณแสง และเปลี่ยนกลับจากสัญญาณแสงเป็นสัญญาณไฟฟ้าตามเดิม ใช้สำหรับการเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างสองวงจรที่ต้องการแยกกันทางไฟฟ้าอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันการรบกวนกันทางไฟฟ้า แบ่งออกเป็นหลายชนิดแต่ละชนิดจะประกอบด้วยตัวส่งแสงและตัวรับแสงที่เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดต่างๆ เช่น ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ไดแอก ไทรแอก เป็นต้น
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างและสัญลักษณ์ของอุปกรณ์เชื่อมต่อทางแสงได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของการเชื่อมต่อทางแสงได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรของอุปกรณ์เชื่อมต่อทางแสงได้
ออปโต้คัปเปลอร์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. โครงสร้างสัญลักษณ์อุปกรณ์เชื่อมต่อทางแสง 2 การทำงานของเชื่อมต่อทางแสง
สาระสำคัญ
อุปกรณ์เชื่อมต่อทางแสง (OPTO ISOLATOR) หรือ ที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ตัวเชื่อมต่อผ่านแสง (OPTO COUPLER) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้การเชื่อมต่อกันทางแสงโดยใช้หลักการเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณแสง และเปลี่ยนกลับจากสัญญาณแสงเป็นสัญญาณไฟฟ้าตามเดิม ใช้สำหรับการเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างสองวงจรที่ต้องการแยกกันทางไฟฟ้าอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันการรบกวนกันทางไฟฟ้า แบ่งออกเป็นหลายชนิดแต่ละชนิดจะประกอบด้วยตัวส่งแสงและตัวรับแสงที่เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดต่างๆ เช่น ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ไดแอก ไทรแอก เป็นต้น
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างและสัญลักษณ์ของอุปกรณ์เชื่อมต่อทางแสงได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของการเชื่อมต่อทางแสงได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรของอุปกรณ์เชื่อมต่อทางแสงได้
อุปกรณ์โฟโต้
ชื่อหน่วย
อุปกรณ์โฟโต้
หัวข้อเรื่องและงาน
1.โฟโต้ไดโอด (Photo Diode) 2 โฟโต้ทรานซิสเตอร์ (Photo Transistor) 3.โฟโต้ดาร์ลิงตันทรานซิสเตอร์ (Photo Darington Transistor)
สาระสำคัญ
อุปกรณ์โฟโต้ (Photo Device) เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำไวแสงชนิดหนึ่ง มีหลายชนิดเช่นโฟโต้ไดโอด โฟโต้ทรานซิสเตอร์ โฟโต้ดาลิงตันทรานซิสเตอร์ โฟโต้ไดโอดจะเป็นตัวรับแสงเมื่อมีแสงตกกระทบมาก กระแสจะไหลมาก โดยโฟโตไดโอดจะต้องได้รับไบอัสตรงด้วย แต่กระแสที่ไหลมีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับแสง จึงจะต้องมีการขยายด้วยทรานซิสเตอร์ก่อนก็จะกลายเป็นโฟโต้ทรานซิสเตอร์ หรือ โฟโต้ดาลิงตันทรานซิสเตอร์ ซึ่งมีกระแสไหลมากกว่า
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกและอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้าง, สัญลักษณ์และคุณสมบัติของโฟโต้ไดโอด2. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกละอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้าง, สัญลักษณ์และคุณสมบัติของโฟโต้ทรานซิสเตอร์ได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้าง, สัญลักษณ์ และคุณสมบัติของโฟโต้ดาร์ลิงตันทรานซิสเตอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถประยุกต์อุปกรณ์โฟโต้ไปใช้งานได้
อุปกรณ์โฟโต้
หัวข้อเรื่องและงาน
1.โฟโต้ไดโอด (Photo Diode) 2 โฟโต้ทรานซิสเตอร์ (Photo Transistor) 3.โฟโต้ดาร์ลิงตันทรานซิสเตอร์ (Photo Darington Transistor)
สาระสำคัญ
อุปกรณ์โฟโต้ (Photo Device) เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำไวแสงชนิดหนึ่ง มีหลายชนิดเช่นโฟโต้ไดโอด โฟโต้ทรานซิสเตอร์ โฟโต้ดาลิงตันทรานซิสเตอร์ โฟโต้ไดโอดจะเป็นตัวรับแสงเมื่อมีแสงตกกระทบมาก กระแสจะไหลมาก โดยโฟโตไดโอดจะต้องได้รับไบอัสตรงด้วย แต่กระแสที่ไหลมีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับแสง จึงจะต้องมีการขยายด้วยทรานซิสเตอร์ก่อนก็จะกลายเป็นโฟโต้ทรานซิสเตอร์ หรือ โฟโต้ดาลิงตันทรานซิสเตอร์ ซึ่งมีกระแสไหลมากกว่า
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกและอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้าง, สัญลักษณ์และคุณสมบัติของโฟโต้ไดโอด2. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกละอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้าง, สัญลักษณ์และคุณสมบัติของโฟโต้ทรานซิสเตอร์ได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้าง, สัญลักษณ์ และคุณสมบัติของโฟโต้ดาร์ลิงตันทรานซิสเตอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถประยุกต์อุปกรณ์โฟโต้ไปใช้งานได้
ยูเจที
ชื่อหน่วย
ยูเจที
หัวข้อเรื่องและงาน
1. โครงสร้างและสัญลักษณ์ของยูเจที
2. คุณสมบัติของยูเจที
3. วงจรกำเนิดสัญญาณ Relaxation โดยใช้ยูเจที
สาระสำคัญ
ยูเจที (UJT) ย่อมาจาก “ยูนิจังชั่น ทรานซิสเตอร์” (UNIJUNCTION TRANSISTOR) เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำที่มีโครงสร้างเป็นสารกึ่งตัวนำชนิดเอ็น (N) แท่งหนึ่งแล้วทำการต่อขั้วเข้าที่ปลายของสารกึ่งตัวนำนั้น จากนั้นนำแท่งสารกึ่งตัวนำชนิดพี (P) มาต่อให้เกิดรอยต่อที่บริเวณตรงกลางแท่งสารกึ่งตัวนำชนิดเอ็น (N) ค่อนไปทางบนเล็กน้อย ตรงรอยต่อสารกึ่งตัวนำชนิดเอ็น (N) และสารกึ่งตัวนำชนิดพี (P) จะเสมือนกับเป็นไดโอดตัวหนึ่งและต่อขาออกจากปลายทั้งสาม โดยขาที่ต่อออกจากสารกึ่งตัวนำชนิด P จะเป็นขาอิมิตเตอร์ (E) ส่วนขาที่ต่อออกจากแท่งสารกึ่งตัวนำชนิด N ที่ใกล้กับสารกึ่งตัวนำชนิด P เรียกว่าขาเบส2 (B2) และขาที่เหลือคือ ขาเบส1 (B1) การใช้งานจะเป็นตัวกำเนิดสัญญาณไปกระตุ้นเอสซีอาร์หรือไทรแอค
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกและอธิบายโครงสร้างและสัญลักษณ์ของยูเจทีได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกคุณสมบัติของยูเจทีได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายวงจรกำเนิดสัญญาณ Relaxation โดยใช้ยูเจที
ยูเจที
หัวข้อเรื่องและงาน
1. โครงสร้างและสัญลักษณ์ของยูเจที
2. คุณสมบัติของยูเจที
3. วงจรกำเนิดสัญญาณ Relaxation โดยใช้ยูเจที
สาระสำคัญ
ยูเจที (UJT) ย่อมาจาก “ยูนิจังชั่น ทรานซิสเตอร์” (UNIJUNCTION TRANSISTOR) เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำที่มีโครงสร้างเป็นสารกึ่งตัวนำชนิดเอ็น (N) แท่งหนึ่งแล้วทำการต่อขั้วเข้าที่ปลายของสารกึ่งตัวนำนั้น จากนั้นนำแท่งสารกึ่งตัวนำชนิดพี (P) มาต่อให้เกิดรอยต่อที่บริเวณตรงกลางแท่งสารกึ่งตัวนำชนิดเอ็น (N) ค่อนไปทางบนเล็กน้อย ตรงรอยต่อสารกึ่งตัวนำชนิดเอ็น (N) และสารกึ่งตัวนำชนิดพี (P) จะเสมือนกับเป็นไดโอดตัวหนึ่งและต่อขาออกจากปลายทั้งสาม โดยขาที่ต่อออกจากสารกึ่งตัวนำชนิด P จะเป็นขาอิมิตเตอร์ (E) ส่วนขาที่ต่อออกจากแท่งสารกึ่งตัวนำชนิด N ที่ใกล้กับสารกึ่งตัวนำชนิด P เรียกว่าขาเบส2 (B2) และขาที่เหลือคือ ขาเบส1 (B1) การใช้งานจะเป็นตัวกำเนิดสัญญาณไปกระตุ้นเอสซีอาร์หรือไทรแอค
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกและอธิบายโครงสร้างและสัญลักษณ์ของยูเจทีได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกคุณสมบัติของยูเจทีได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายวงจรกำเนิดสัญญาณ Relaxation โดยใช้ยูเจที
ไดแอกและไทรแอก
ชื่อหน่วย
ไดแอกและไทรแอก
หัวข้อเรื่องและงาน
1.โครงสร้างและสัญลักษณ์ของไดแอก,ไทรแอก
2. การทำงานของไดแอก
3. การวัดและทดสอบไดแอกด้วยโอห์มมิเตอร์ 4. คุณสมบัติของไทรแอก 5. วิธีตรวจสอบและการหาขาไทรแอกด้วยโอห์มมิเตอร์
สาระสำคัญ
ไดแอก (DIAC) หรือ “ DIODE-AC ” เป็นอุปกรณ์จุดชนวนไทรแอกลักษณะโครงสร้างจะเป็นสาร P-N 3 ชั้น รอยต่อเหมือนกับทรานซิสเตอร์ ไดแอกทำหน้าที่ป้องกันการกระโชกของแรงดันไฟสลับที่อาจทำให้ไทรแอกชำรุดเสียหายและทำหน้าที่ควบคุมเฟสกำหนดเวลาเริ่มทำงานของของไทรแอก เมื่อนำทั้งหมดมาประกอบเป็นวงจร สามารถทำให้วงจรทำงานหรือหยุดทำงานได้ตามการควบคุมของไดแอก เช่น วงจรปรับระดับความร้อนของเครื่องทำน้ำอุ่น วงจรหรี่ไฟแสงสว่าง วงจรปรับความเร็วมอเตอร์ ฯลฯ ไทรแอก (TRIAC) เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำประเภทไทริสเตอร์ ถูกพัฒนาขึ้นมาให้ใช้งานได้กับไฟสลับเพื่อแก้ข้อบกพร่องของ เอสซีอาร์ ไทรแอกนำกระแสได้สองทิศทาง โดยทำหน้าที่เป็นสวิตซ์ มีคุณสมบัติเป็นสวิตซ์ที่ดีกว่าสวิตซ์ธรรมดาหลายประการ คือ ทำงานได้เร็ว ควบคุมการทำงานง่ายไม่มีหน้าสัมผัสจึงไม่เกิดประกายไฟ โครงสร้างไทรแอกเหมือนการรวม เอสซีอาร์สองตัวไว้ด้วยกัน การทำงานของไทรแอกต้องเลือกสภาวะการทำงานของไทรแอก โดยเลือกใช้สภาวะกระแสแอโนดกับกระแสเกตเสริมกัน การทำให้ไทรแอกนำกระแสทำได้คล้ายกันกับ เอสซีอาร์
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างและสัญลักษณ์ของไดแอกและไทรแอกได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของไดแอกและ ไทรแอกได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบไดแอกและไทรแอกด้วยโอห์มมิเตอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรใช้งานไดแอกและไทรแอกได้
ไดแอกและไทรแอก
หัวข้อเรื่องและงาน
1.โครงสร้างและสัญลักษณ์ของไดแอก,ไทรแอก
2. การทำงานของไดแอก
3. การวัดและทดสอบไดแอกด้วยโอห์มมิเตอร์ 4. คุณสมบัติของไทรแอก 5. วิธีตรวจสอบและการหาขาไทรแอกด้วยโอห์มมิเตอร์
สาระสำคัญ
ไดแอก (DIAC) หรือ “ DIODE-AC ” เป็นอุปกรณ์จุดชนวนไทรแอกลักษณะโครงสร้างจะเป็นสาร P-N 3 ชั้น รอยต่อเหมือนกับทรานซิสเตอร์ ไดแอกทำหน้าที่ป้องกันการกระโชกของแรงดันไฟสลับที่อาจทำให้ไทรแอกชำรุดเสียหายและทำหน้าที่ควบคุมเฟสกำหนดเวลาเริ่มทำงานของของไทรแอก เมื่อนำทั้งหมดมาประกอบเป็นวงจร สามารถทำให้วงจรทำงานหรือหยุดทำงานได้ตามการควบคุมของไดแอก เช่น วงจรปรับระดับความร้อนของเครื่องทำน้ำอุ่น วงจรหรี่ไฟแสงสว่าง วงจรปรับความเร็วมอเตอร์ ฯลฯ ไทรแอก (TRIAC) เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำประเภทไทริสเตอร์ ถูกพัฒนาขึ้นมาให้ใช้งานได้กับไฟสลับเพื่อแก้ข้อบกพร่องของ เอสซีอาร์ ไทรแอกนำกระแสได้สองทิศทาง โดยทำหน้าที่เป็นสวิตซ์ มีคุณสมบัติเป็นสวิตซ์ที่ดีกว่าสวิตซ์ธรรมดาหลายประการ คือ ทำงานได้เร็ว ควบคุมการทำงานง่ายไม่มีหน้าสัมผัสจึงไม่เกิดประกายไฟ โครงสร้างไทรแอกเหมือนการรวม เอสซีอาร์สองตัวไว้ด้วยกัน การทำงานของไทรแอกต้องเลือกสภาวะการทำงานของไทรแอก โดยเลือกใช้สภาวะกระแสแอโนดกับกระแสเกตเสริมกัน การทำให้ไทรแอกนำกระแสทำได้คล้ายกันกับ เอสซีอาร์
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างและสัญลักษณ์ของไดแอกและไทรแอกได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของไดแอกและ ไทรแอกได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบไดแอกและไทรแอกด้วยโอห์มมิเตอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรใช้งานไดแอกและไทรแอกได้
เทอร์มิสเตอร์และวาริสเตอร์
ชื่อหน่วย
เทอร์มิสเตอร์และวาริสเตอร์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. โครงสร้างและสัญลักษณ์ของเทอร์มิสเตอร์และวาริสเตอร์
2. ชนิดของเทอร์มิสเตอร์
3. วาริสเตอร์ (VARISTOR)
สาระสำคัญ
เทอร์มิสเตอร์ (Thermistor) คือตัวต้านทานชนิดหนึ่งที่ค่าความต้านทานเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิ ค่าความต้านทานจะเปลี่ยนไปมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิรอบๆ ค่าความต้านทานของเทอร์มิสเตอร์จะเปลี่ยนแปลงแบบไม่เป็นเชิงเส้น(Non-Linear)กับอุณหภูมิ เทอร์มิสเตอร์แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ เทอร์มิสเตอร์ชนิดสัมประสิทธิ์อุณหภูมิเป็นลบ “NTC” และ เทอร์มิสเตอร์ชนิดสัมประสิทธิ์อุณหภูมิเป็นบวก “PCT”
วาริสเตอร์ (Varistor) หรือนิยมเรียก VDR คือ ตัวต้านทานที่แปรค่าตามค่าแรงดัน วาริส-เตอร์ (Varistor) จัดเป็นตัวต้านทานที่ไม่เป็นเชิงเส้น การใช้งานจะใช้สำหรับป้องกันแรงดันเกิน ลักษณะการทำงานจะคล้ายกับ ซีเนอร์ไดโอดสองตัวต่อหลังชนกัน
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกสัญลักษณ์ของเทอร์มิสเตอร์ และวาริสเตอร์ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายคุณสมบัติของเทอร์มิสเตอร์ และวาริสเตอร์ได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของเทอร์มิสเตอร์ และวาริสเตอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถตรวจสอบเทอร์มิสเตอร์ด้วยโอห์มมิเตอร์ได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถหาคุณสมบัติของเทอร์มิสเตอร์และวาริสเตอร์ได้
เทอร์มิสเตอร์และวาริสเตอร์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. โครงสร้างและสัญลักษณ์ของเทอร์มิสเตอร์และวาริสเตอร์
2. ชนิดของเทอร์มิสเตอร์
3. วาริสเตอร์ (VARISTOR)
สาระสำคัญ
เทอร์มิสเตอร์ (Thermistor) คือตัวต้านทานชนิดหนึ่งที่ค่าความต้านทานเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิ ค่าความต้านทานจะเปลี่ยนไปมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิรอบๆ ค่าความต้านทานของเทอร์มิสเตอร์จะเปลี่ยนแปลงแบบไม่เป็นเชิงเส้น(Non-Linear)กับอุณหภูมิ เทอร์มิสเตอร์แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ เทอร์มิสเตอร์ชนิดสัมประสิทธิ์อุณหภูมิเป็นลบ “NTC” และ เทอร์มิสเตอร์ชนิดสัมประสิทธิ์อุณหภูมิเป็นบวก “PCT”
วาริสเตอร์ (Varistor) หรือนิยมเรียก VDR คือ ตัวต้านทานที่แปรค่าตามค่าแรงดัน วาริส-เตอร์ (Varistor) จัดเป็นตัวต้านทานที่ไม่เป็นเชิงเส้น การใช้งานจะใช้สำหรับป้องกันแรงดันเกิน ลักษณะการทำงานจะคล้ายกับ ซีเนอร์ไดโอดสองตัวต่อหลังชนกัน
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกสัญลักษณ์ของเทอร์มิสเตอร์ และวาริสเตอร์ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายคุณสมบัติของเทอร์มิสเตอร์ และวาริสเตอร์ได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของเทอร์มิสเตอร์ และวาริสเตอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถตรวจสอบเทอร์มิสเตอร์ด้วยโอห์มมิเตอร์ได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถหาคุณสมบัติของเทอร์มิสเตอร์และวาริสเตอร์ได้
เอสชีอาร์
ชื่อหน่วย
เอสซีอาร์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. โครงสร้างและสัญลักษณ์ของเอสซีอาร์
2. สภาวะนำกระแสของเอสซีอาร์
3. สภาวะหยุดนำกระแสของเอสซีอาร์
4. การนำเอสซีอาร์ไปใช้งาน
5. การวัดและทดสอบเอสซีอาร์ด้วยโอห์มมิเตอร์
สาระสำคัญ
เอสซีอาร์ชื่อเต็มคือ Silicon Control Rectifier ชื่อย่อ “SCR” เป็นอุปกรณ์จำพวกไทริสเตอร์ โครงสร้างเป็นสารกึ่งตัวนำ 4 ตอน( PNPN ) ต่อชนเรียงสลับกัน มีขาต่อใช้งาน 3ขาคือแอโนด(A) แคโถด(K) และเกต(G) จ่ายไบอัสให้ขาแอโนดและแคโถดเป็นไบอัสตรงแล้วกระตุ้นที่ขาเกตเป็นไฟบวก SCR ก็จะนำกระแส ได้เมื่อ SCR นำกระแสแล้วการที่จะทำให้ SCR หยุดนำกระแสกระทำได้ 2 วิธีคือ ตัดแรงดันที่จ่ายให้วงจรออกชั่วขณะและลดกระแสแอโนดที่ไหลผ่าน SCR ให้ต่ำกว่ากระแสโฮลดิ้ง(IH)
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างและสัญลักษณ์ของเอสซีอาร์ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายสภาวะนำกระแสและหยุดนำกระแสของเอสซีอาร์ได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบเอสซีอาร์ด้วยโอห์มมิเตอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดเอสซีอาร์ด้วยโอห์มมิเตอร์ได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถตรวจสภาพของเอสซีอาร์ด้วยโอห์ม มิเตอร์ได้
เอสซีอาร์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. โครงสร้างและสัญลักษณ์ของเอสซีอาร์
2. สภาวะนำกระแสของเอสซีอาร์
3. สภาวะหยุดนำกระแสของเอสซีอาร์
4. การนำเอสซีอาร์ไปใช้งาน
5. การวัดและทดสอบเอสซีอาร์ด้วยโอห์มมิเตอร์
สาระสำคัญ
เอสซีอาร์ชื่อเต็มคือ Silicon Control Rectifier ชื่อย่อ “SCR” เป็นอุปกรณ์จำพวกไทริสเตอร์ โครงสร้างเป็นสารกึ่งตัวนำ 4 ตอน( PNPN ) ต่อชนเรียงสลับกัน มีขาต่อใช้งาน 3ขาคือแอโนด(A) แคโถด(K) และเกต(G) จ่ายไบอัสให้ขาแอโนดและแคโถดเป็นไบอัสตรงแล้วกระตุ้นที่ขาเกตเป็นไฟบวก SCR ก็จะนำกระแส ได้เมื่อ SCR นำกระแสแล้วการที่จะทำให้ SCR หยุดนำกระแสกระทำได้ 2 วิธีคือ ตัดแรงดันที่จ่ายให้วงจรออกชั่วขณะและลดกระแสแอโนดที่ไหลผ่าน SCR ให้ต่ำกว่ากระแสโฮลดิ้ง(IH)
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างและสัญลักษณ์ของเอสซีอาร์ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายสภาวะนำกระแสและหยุดนำกระแสของเอสซีอาร์ได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบเอสซีอาร์ด้วยโอห์มมิเตอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดเอสซีอาร์ด้วยโอห์มมิเตอร์ได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถตรวจสภาพของเอสซีอาร์ด้วยโอห์ม มิเตอร์ได้
เอสชีอาร์
ชื่อหน่วย
เอสซีอาร์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. โครงสร้างและสัญลักษณ์ของเอสซีอาร์
2. สภาวะนำกระแสของเอสซีอาร์
3. สภาวะหยุดนำกระแสของเอสซีอาร์
4. การนำเอสซีอาร์ไปใช้งาน
5. การวัดและทดสอบเอสซีอาร์ด้วยโอห์มมิเตอร์
สาระสำคัญ
เอสซีอาร์ชื่อเต็มคือ Silicon Control Rectifier ชื่อย่อ “SCR” เป็นอุปกรณ์จำพวกไทริสเตอร์ โครงสร้างเป็นสารกึ่งตัวนำ 4 ตอน( PNPN ) ต่อชนเรียงสลับกัน มีขาต่อใช้งาน 3ขาคือแอโนด(A) แคโถด(K) และเกต(G) จ่ายไบอัสให้ขาแอโนดและแคโถดเป็นไบอัสตรงแล้วกระตุ้นที่ขาเกตเป็นไฟบวก SCR ก็จะนำกระแส ได้เมื่อ SCR นำกระแสแล้วการที่จะทำให้ SCR หยุดนำกระแสกระทำได้ 2 วิธีคือ ตัดแรงดันที่จ่ายให้วงจรออกชั่วขณะและลดกระแสแอโนดที่ไหลผ่าน SCR ให้ต่ำกว่ากระแสโฮลดิ้ง(IH)
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างและสัญลักษณ์ของเอสซีอาร์ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายสภาวะนำกระแสและหยุดนำกระแสของเอสซีอาร์ได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบเอสซีอาร์ด้วยโอห์มมิเตอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดเอสซีอาร์ด้วยโอห์มมิเตอร์ได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถตรวจสภาพของเอสซีอาร์ด้วยโอห์ม มิเตอร์ได้
เอสซีอาร์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. โครงสร้างและสัญลักษณ์ของเอสซีอาร์
2. สภาวะนำกระแสของเอสซีอาร์
3. สภาวะหยุดนำกระแสของเอสซีอาร์
4. การนำเอสซีอาร์ไปใช้งาน
5. การวัดและทดสอบเอสซีอาร์ด้วยโอห์มมิเตอร์
สาระสำคัญ
เอสซีอาร์ชื่อเต็มคือ Silicon Control Rectifier ชื่อย่อ “SCR” เป็นอุปกรณ์จำพวกไทริสเตอร์ โครงสร้างเป็นสารกึ่งตัวนำ 4 ตอน( PNPN ) ต่อชนเรียงสลับกัน มีขาต่อใช้งาน 3ขาคือแอโนด(A) แคโถด(K) และเกต(G) จ่ายไบอัสให้ขาแอโนดและแคโถดเป็นไบอัสตรงแล้วกระตุ้นที่ขาเกตเป็นไฟบวก SCR ก็จะนำกระแส ได้เมื่อ SCR นำกระแสแล้วการที่จะทำให้ SCR หยุดนำกระแสกระทำได้ 2 วิธีคือ ตัดแรงดันที่จ่ายให้วงจรออกชั่วขณะและลดกระแสแอโนดที่ไหลผ่าน SCR ให้ต่ำกว่ากระแสโฮลดิ้ง(IH)
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างและสัญลักษณ์ของเอสซีอาร์ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายสภาวะนำกระแสและหยุดนำกระแสของเอสซีอาร์ได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบเอสซีอาร์ด้วยโอห์มมิเตอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดเอสซีอาร์ด้วยโอห์มมิเตอร์ได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถตรวจสภาพของเอสซีอาร์ด้วยโอห์ม มิเตอร์ได้
ไอชีออปแอมป์
ชื่อหน่วย
ไอซีออปแอมป์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. คุณสมบัติของไอซีออปแอมป์
2. วงจรขยายแบบกลับเฟส (Inverting Amplifier)
3. วงจรขยายแบบไม่กลับเฟส (Non-Inverting Amplifier)
4. วงจรบัฟเฟอร์ (Buffer)
5. วงจรกรองสัญญาณความถี่ต่ำ ( Low Pass Filter)
สาระสำคัญ
ออปแอมป์ (Op – amp) เป็นชื่อย่อสำหรับเรียกวงจรขยายโอเพอเรชันเเนล แอมปลิไฟเออร์ (Operational amplifier)เป็นวงจรขยายแบบต่อตรง (Direct coupled amplifier) ที่มีอัตราการขยายสูงมาก ใช้การป้อนกลับแบบลบไปควบคุมการทำงาน วงจรภายในประกอบด้วยวงจรขยายที่ต่ออนุกรมกันหลายภาค ไอซีออปแอมป์ เป็นไอซีที่แตกต่างไปจากลิเนียร์ไอซีทั่ว ๆ ไป มีอินพุต 2 อินพุต และมีเอาต์พุตเดียว อินพุตขาหนึ่งเรียกว่า อินเวอร์ติ้งอินพุต (Inverting Input) หรือ ขาลบ(-) อีกขาหนึ่ง คือ นอนอินเวอร์ติ้งอินพุต(Non-Inverting Input) หรือขา(+) ออปแอมป์สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลายอย่างเช่น วงจรขยายสัญญาณ วงจรเปรียบเทียบสัญญาณ วงจรกำเนิดสัญญาณ เป็นต้น
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกคุณสมบัติของไอซีออปแอมป์ ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของวงจรขยายแบบกลับเฟสและไม่กลับเฟสได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานวงจรบัฟเฟอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกและอธิบายการทำงานของวงจรกรองความถี่ต่ำได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรขยายแบบไม่กลับเฟสและวงจรขยายแบบกลับเฟสได้6. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดหาคุณสมบัติของวงจรขยายแบบ กลับเฟสและไม่กลับเฟสได้
ไอซีออปแอมป์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. คุณสมบัติของไอซีออปแอมป์
2. วงจรขยายแบบกลับเฟส (Inverting Amplifier)
3. วงจรขยายแบบไม่กลับเฟส (Non-Inverting Amplifier)
4. วงจรบัฟเฟอร์ (Buffer)
5. วงจรกรองสัญญาณความถี่ต่ำ ( Low Pass Filter)
สาระสำคัญ
ออปแอมป์ (Op – amp) เป็นชื่อย่อสำหรับเรียกวงจรขยายโอเพอเรชันเเนล แอมปลิไฟเออร์ (Operational amplifier)เป็นวงจรขยายแบบต่อตรง (Direct coupled amplifier) ที่มีอัตราการขยายสูงมาก ใช้การป้อนกลับแบบลบไปควบคุมการทำงาน วงจรภายในประกอบด้วยวงจรขยายที่ต่ออนุกรมกันหลายภาค ไอซีออปแอมป์ เป็นไอซีที่แตกต่างไปจากลิเนียร์ไอซีทั่ว ๆ ไป มีอินพุต 2 อินพุต และมีเอาต์พุตเดียว อินพุตขาหนึ่งเรียกว่า อินเวอร์ติ้งอินพุต (Inverting Input) หรือ ขาลบ(-) อีกขาหนึ่ง คือ นอนอินเวอร์ติ้งอินพุต(Non-Inverting Input) หรือขา(+) ออปแอมป์สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลายอย่างเช่น วงจรขยายสัญญาณ วงจรเปรียบเทียบสัญญาณ วงจรกำเนิดสัญญาณ เป็นต้น
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกคุณสมบัติของไอซีออปแอมป์ ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของวงจรขยายแบบกลับเฟสและไม่กลับเฟสได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานวงจรบัฟเฟอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกและอธิบายการทำงานของวงจรกรองความถี่ต่ำได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรขยายแบบไม่กลับเฟสและวงจรขยายแบบกลับเฟสได้6. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดหาคุณสมบัติของวงจรขยายแบบ กลับเฟสและไม่กลับเฟสได้
ไอชีเร็กกูเลเตอร์
ชื่อหน่วย
ไอซีเร็กกูเลเตอร์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. เร็กกูเลเตอร์แบบขนาน (Shunt Regulator)
2. เร็กกูเลเตอร์แบบอนุกรม (Series Regulator)
3. แผนผังวงจรพื้นฐานของเร็กกูเลเตอร์แบบอนุกรม
4. ไอซีเร็กกูเลเตอร์สามขาชนิดจ่ายแรงดันคงที่
สาระสำคัญ
ไอซีเร็กกูเลเตอร์ คือไอซีที่หน้าที่รักษาแรงดันที่เอาต์พุทของแหล่งจ่ายไฟไห้คงที่ไม่ว่าโหลดจะเปลี่ยนแปลงไป วงจรเร็กกูเลเตอร์แบ่งออกเป็น 3 อย่างคือ เร็กกูเลเตอร์แบบอนุกรม (Series Regulator) เร็กกูเลเตอร์แบบขนาน (Shunt Regulator) และเร็กกูเลเตอร์แบบสวิตชิ่ง (Switching Regulator) ไอซีเร็กกูเลเตอร์ มีหลายอย่างเช่นเร็กกูเลเตอร์แรงดันค่าคงที่ เร็กกูเลเตอร์เปลี่ยนค่าได้ เร็กกูเลเตอร์ไฟบวกและไฟลบ
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถแยกแยะระหว่างเร็กกูเลเตอร์แบบขนานและแบบอนุกรมได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของแผนผังพื้นฐานของเร็กกูเลเตอร์แบบอนุกรมได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกถึงรูปลักษณ์ของไอซีเร็กกูเลเตอร์ 3 ขา ชนิดจ่ายแรงดันคงที่ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเพื่อหาคุณสมบัติของไอซีเร็กกูเลเตอร์ได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถออกแบบวงจรจ่ายไฟโดยใช้ไอซีเร็กกูเลเตอร์ได้
ไอซีเร็กกูเลเตอร์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. เร็กกูเลเตอร์แบบขนาน (Shunt Regulator)
2. เร็กกูเลเตอร์แบบอนุกรม (Series Regulator)
3. แผนผังวงจรพื้นฐานของเร็กกูเลเตอร์แบบอนุกรม
4. ไอซีเร็กกูเลเตอร์สามขาชนิดจ่ายแรงดันคงที่
สาระสำคัญ
ไอซีเร็กกูเลเตอร์ คือไอซีที่หน้าที่รักษาแรงดันที่เอาต์พุทของแหล่งจ่ายไฟไห้คงที่ไม่ว่าโหลดจะเปลี่ยนแปลงไป วงจรเร็กกูเลเตอร์แบ่งออกเป็น 3 อย่างคือ เร็กกูเลเตอร์แบบอนุกรม (Series Regulator) เร็กกูเลเตอร์แบบขนาน (Shunt Regulator) และเร็กกูเลเตอร์แบบสวิตชิ่ง (Switching Regulator) ไอซีเร็กกูเลเตอร์ มีหลายอย่างเช่นเร็กกูเลเตอร์แรงดันค่าคงที่ เร็กกูเลเตอร์เปลี่ยนค่าได้ เร็กกูเลเตอร์ไฟบวกและไฟลบ
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถแยกแยะระหว่างเร็กกูเลเตอร์แบบขนานและแบบอนุกรมได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของแผนผังพื้นฐานของเร็กกูเลเตอร์แบบอนุกรมได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกถึงรูปลักษณ์ของไอซีเร็กกูเลเตอร์ 3 ขา ชนิดจ่ายแรงดันคงที่ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเพื่อหาคุณสมบัติของไอซีเร็กกูเลเตอร์ได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถออกแบบวงจรจ่ายไฟโดยใช้ไอซีเร็กกูเลเตอร์ได้
ไอชีตั้งเวลา 555
ชื่อหน่วย
ไอซีตั้งเวลา 555
หัวข้อเรื่องและงาน
1. ไอซีตั้งเวลา 555
2. คุณสมบัติของไอซี 555 แต่ละขา 3. วงจรอะสเตเบิ้ลโดยใช้ไอซี 555 4. การเลือกใช้ตัวต้านทานและตัวเก็บประจุในวงจรตั้งเวลา 5. ไอซีเบอร์ 555 ที่ใช้ในทางการค้า
สาระสำคัญ
ไอซีตั้งเวลา 555 เป็นไอซีที่ทำหน้าที่กำเนิดสัญญาณตามเวลาที่ออกแบบไว้ โดยสามารถกำหนดได้ด้วยอุปกรณ์ภายนอก ไอซีตั้งเวลา 555 สามารถกำเนิดสัญญาณ อะสเตเบิ้ล(Astable) โมโนสะเตเบิ้ล (Monostable) และประยุกต์ใช้งานด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการตั้งเวลาได้ดี
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของไอซีตั้งเวลา 555 ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถออกแบบวงจรอะสเตเบิ้ลได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกหลักการเลือกใช้ตัวต้านทานและตัวเก็บประจุได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถเลือกใช้ไอซีเบอร์ 555 ได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเพื่อหาคุณสมบัติของไอซีตั้งเวลา 555ได้6. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดสัญญาณเอาท์พุทของไอซีตั้งเวลา 555 ได้7. เพื่อให้นักเรียนรับผิดชอบต่อการปฏิบัติงาน8. เพื่อให้นักเรียนมีความซื่อสัตย์ต่อการปฏิบัติงาน9. เพื่อให้นักเรียนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการใช้ห้องปฏิบัติงาน
ไอซีตั้งเวลา 555
หัวข้อเรื่องและงาน
1. ไอซีตั้งเวลา 555
2. คุณสมบัติของไอซี 555 แต่ละขา 3. วงจรอะสเตเบิ้ลโดยใช้ไอซี 555 4. การเลือกใช้ตัวต้านทานและตัวเก็บประจุในวงจรตั้งเวลา 5. ไอซีเบอร์ 555 ที่ใช้ในทางการค้า
สาระสำคัญ
ไอซีตั้งเวลา 555 เป็นไอซีที่ทำหน้าที่กำเนิดสัญญาณตามเวลาที่ออกแบบไว้ โดยสามารถกำหนดได้ด้วยอุปกรณ์ภายนอก ไอซีตั้งเวลา 555 สามารถกำเนิดสัญญาณ อะสเตเบิ้ล(Astable) โมโนสะเตเบิ้ล (Monostable) และประยุกต์ใช้งานด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการตั้งเวลาได้ดี
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของไอซีตั้งเวลา 555 ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถออกแบบวงจรอะสเตเบิ้ลได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกหลักการเลือกใช้ตัวต้านทานและตัวเก็บประจุได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถเลือกใช้ไอซีเบอร์ 555 ได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเพื่อหาคุณสมบัติของไอซีตั้งเวลา 555ได้6. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดสัญญาณเอาท์พุทของไอซีตั้งเวลา 555 ได้7. เพื่อให้นักเรียนรับผิดชอบต่อการปฏิบัติงาน8. เพื่อให้นักเรียนมีความซื่อสัตย์ต่อการปฏิบัติงาน9. เพื่อให้นักเรียนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการใช้ห้องปฏิบัติงาน
ทรานชิสเตอร์สนามไฟฟ้า
ชื่อหน่วย
ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้า
หัวข้อเรื่องและงาน
1.โครงสร้างทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าชนิดรอยต่อ
2. การจัดไบอัสให้เจเฟต
3. สัญลักษณ์ของเจเฟต (J-FET Symbols)
4. ลักษณะสมบัติของเจเฟต
5. เฟตชนิดออกไซด์ของโลหะ
6. มอสเฟตชนิดดีพลีชัน
7. เอ็นฮานซ์เมนต์โหมด (Enhancement Mode)
8. คุณลักษณะการถ่ายโอนของดีมอสเฟต
9. การวัดและทดสอบเจเฟตด้วยโอห์มมิเตอร์
สาระสำคัญ
ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้า (Field Effect Transistor) ชื่อย่อเรียกว่าเฟต(FET) เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำที่มี 3 ขาคือ ขาเกต ขาเดรน และขาซอร์ส ขาเกตเป็นขาที่ป้อนแรงดันเข้าทำให้เกิดสนามไฟฟ้าเพื่อใช้ควบคุมปริมาณการไหลของพาหะส่วนใหญ่ระหว่างขาเดรนกับขาชอร์สซึ่งเป็นสารกึ่งตัวนำชิ้นเดียวกันพาหะส่วนใหญ่อาจเป็นกระแสโฮลหรืออิเล็กตรอน อย่างใดอย่างหนึ่ง เฟตมีหลายชนิดเช่น เจเฟต มอสเฟต ดีมอสเฟต ซึ่งโครงสร้างการทำงานและการจัดไบอัสจะแตกต่างกันออกไป
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกโครงสร้าง สัญลักษณ์ของเจเฟต มอสเฟตและดีมอสเฟตได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการให้ไบอัสเจเฟต มอสเฟต และดีมอสเฟตได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายคุณสมบัติของเจเฟตได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายมอสเฟตชนิดดีพลีชั่นได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายเอนฮานซ์เมนท์โหมดได้6. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายคุณลักษณะการถ่ายโอนของ ดีมอสเฟตได้7. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบเจเฟตด้วยโอห์มมิเตอร์ได้
ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้า
หัวข้อเรื่องและงาน
1.โครงสร้างทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าชนิดรอยต่อ
2. การจัดไบอัสให้เจเฟต
3. สัญลักษณ์ของเจเฟต (J-FET Symbols)
4. ลักษณะสมบัติของเจเฟต
5. เฟตชนิดออกไซด์ของโลหะ
6. มอสเฟตชนิดดีพลีชัน
7. เอ็นฮานซ์เมนต์โหมด (Enhancement Mode)
8. คุณลักษณะการถ่ายโอนของดีมอสเฟต
9. การวัดและทดสอบเจเฟตด้วยโอห์มมิเตอร์
สาระสำคัญ
ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้า (Field Effect Transistor) ชื่อย่อเรียกว่าเฟต(FET) เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำที่มี 3 ขาคือ ขาเกต ขาเดรน และขาซอร์ส ขาเกตเป็นขาที่ป้อนแรงดันเข้าทำให้เกิดสนามไฟฟ้าเพื่อใช้ควบคุมปริมาณการไหลของพาหะส่วนใหญ่ระหว่างขาเดรนกับขาชอร์สซึ่งเป็นสารกึ่งตัวนำชิ้นเดียวกันพาหะส่วนใหญ่อาจเป็นกระแสโฮลหรืออิเล็กตรอน อย่างใดอย่างหนึ่ง เฟตมีหลายชนิดเช่น เจเฟต มอสเฟต ดีมอสเฟต ซึ่งโครงสร้างการทำงานและการจัดไบอัสจะแตกต่างกันออกไป
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกโครงสร้าง สัญลักษณ์ของเจเฟต มอสเฟตและดีมอสเฟตได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการให้ไบอัสเจเฟต มอสเฟต และดีมอสเฟตได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายคุณสมบัติของเจเฟตได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายมอสเฟตชนิดดีพลีชั่นได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายเอนฮานซ์เมนท์โหมดได้6. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายคุณลักษณะการถ่ายโอนของ ดีมอสเฟตได้7. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบเจเฟตด้วยโอห์มมิเตอร์ได้
ทรานชิสเตอร์
ชื่อหน่วย
ทรานซิสเตอร์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. ประวัติความเป็นมาของทรานซิสเตอร์
2.โครงสร้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์
3. ชนิดของทรานซิสเตอร์
4. ขาของทรานซิสเตอร์
5. การให้ไบอัสทรานซิสเตอร์
สาระสำคัญ
ทรานซิสเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทแอคทีฟ (Active Device) ชนิดหนึ่งมีหลักการทำงานโดยอาศัยกระแสไฟฟ้าจากวงจรภายนอกไปควบคุมตัวกำเนิดกระแสไฟฟ้าภายในให้เปลี่ยนแปลงตาม ทรานซิสเตอร์มี 3 ขา คือ ขาเบส ขาอิมิตเตอร์และขาคอลเลคเตอร์ การสร้างทรานซิสเตอร์ แบ่งตามโครงสร้างได้ 2 ชนิด คือ NPN และ PNP แบ่งตามสารได้สองชนิดเช่นกันคือเยอรมันเนียม และ ซิลิคอน การจัดแรงไฟไบอัสทรานซิสเตอร์จะจัดให้อยู่สองแบบคือให้ฟอร์เวิร์ดไบอัสระหว่างขาเบสกับขาอิมิตเตอร์ และให้รีเวิร์สไบอัสระหว่างขาเบสกับขาคอลเลคเตอร์ ทรานซิสเตอร์สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลายอย่างเช่น ขยายสัญญาณ สวิตซิ่ง กำเนิดสัญญาณ เป็นต้น
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกและอธิบายโครงสร้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกชนิดของทรานซิสเตอร์ได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการวัดและทดสอบขาทรานซิสเตอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการให้ไบอัสทรานซิสเตอร์ได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเพื่อหาคุณสมบัติของทรานซิสเตอร์ได้
6. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบทรานซิสเตอร์ได้
ทรานซิสเตอร์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. ประวัติความเป็นมาของทรานซิสเตอร์
2.โครงสร้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์
3. ชนิดของทรานซิสเตอร์
4. ขาของทรานซิสเตอร์
5. การให้ไบอัสทรานซิสเตอร์
สาระสำคัญ
ทรานซิสเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทแอคทีฟ (Active Device) ชนิดหนึ่งมีหลักการทำงานโดยอาศัยกระแสไฟฟ้าจากวงจรภายนอกไปควบคุมตัวกำเนิดกระแสไฟฟ้าภายในให้เปลี่ยนแปลงตาม ทรานซิสเตอร์มี 3 ขา คือ ขาเบส ขาอิมิตเตอร์และขาคอลเลคเตอร์ การสร้างทรานซิสเตอร์ แบ่งตามโครงสร้างได้ 2 ชนิด คือ NPN และ PNP แบ่งตามสารได้สองชนิดเช่นกันคือเยอรมันเนียม และ ซิลิคอน การจัดแรงไฟไบอัสทรานซิสเตอร์จะจัดให้อยู่สองแบบคือให้ฟอร์เวิร์ดไบอัสระหว่างขาเบสกับขาอิมิตเตอร์ และให้รีเวิร์สไบอัสระหว่างขาเบสกับขาคอลเลคเตอร์ ทรานซิสเตอร์สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลายอย่างเช่น ขยายสัญญาณ สวิตซิ่ง กำเนิดสัญญาณ เป็นต้น
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกและอธิบายโครงสร้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกชนิดของทรานซิสเตอร์ได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการวัดและทดสอบขาทรานซิสเตอร์ได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการให้ไบอัสทรานซิสเตอร์ได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเพื่อหาคุณสมบัติของทรานซิสเตอร์ได้
6. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบทรานซิสเตอร์ได้
ชีเนอร์ไดโอดและการควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยชีเนอร์ไดโอด
ชื่อหน่วย
ซีเนอร์ไดโอดและการควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยซีเนอร์ไดโอด
หัวข้อเรื่องและงาน
1. สัญลักษณ์และคุณสมบัติของซีเนอร์ไดโอด 2. การพังทลายของซีเนอร์ 3. คุณลักษณะของการพังทลาย 4. วงจรสมมูลของซีเนอร์ไดโอด 5. ตารางคุณสมบัติของซีเนอร์ไดโอด 6. การต่อใช้งานซีเนอร์ไดโอด 7. การควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยซีเนอร์ไดโอด 8. การออกแบบวงจรควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยซีเนอร์ไดโอด
สาระสำคัญ
ซีเนอร์ไดโอดคือไดโอดที่ผลิตขึ้นมาจากสารกึ่งตัวนำชนิด P และ N มาต่อชนกันมีลักษณะโครงสร้างเหมือนกับไดโอดธรรมดาแตกต่างกันตรงการโด๊ปสารกึ่งตัวนำชนิด P และ N ซึ่งจะโด๊ปมากกว่าปกติ ทำให้การใช้งานต่างจากไดโอดธรรมดาซึ่งไดโอดธรรมดาจะใช้งานในช่วงการจ่ายแรงดันไบอัสตรง ส่วนซีเนอร์ไดโอดจะใช้งานในลักษณะจ่ายแรงดันไบอัสกลับ เมื่อซีเนอร์ไดโอดได้รับไบอัสกลับถึงค่าแรงดันที่กำหนด ซีเนอร์ไดโอดจะนำกระแส และจะเกิด แรงดันตกคร่อมตัวเองคงที่ เช่น 6 V , 9 V , 12 V เป็นต้น
การใช้ซีเนอร์ไดโอดควบคุมแรงดันให้คงที่ เหมาะสำหรับแหล่งจ่ายไฟตรงที่จ่ายกระแสได้ไม่สูงนัก แต่ต้องการแรงดันเอาท์พุทที่มีความราบเรียบโดยไม่มีระลอกคลื่น การต่อใช้งานซีเนอร์ไดโอด จะต่อในลักษณะไบอัสกลับและจะต้องมีตัวต้านทานต่ออนุกรมเพื่อจำกัดกระแส แรงดันอินพุตที่ป้อนให้ซีเนอร์ไดโอดจะต้องมากกว่าค่าแรงดันซีเนอร์เสมอ
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกสัญลักษณ์ของซีเนอร์ไดโอดได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายคุณสมบัติของซีเนอร์ไดโอดได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถเขียนวงจรสมมูลของซีเนอร์ ไดโอดได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกการต่อใช้งานซีเนอร์ไดโอดได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเพื่อหาคุณสมบัติของซีเนอร์ไดโอดได้6. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบซีเนอร์ไดโอดด้วยโอห์มมิเตอร์ได้7. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายหลักการทำงานของวงจรควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยซีเนอร์ไดโอดได้8. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกลักษณะวงจรเร็กกูเลเตอร์โดยใช้ซีเนอร์ไดโอดได้ 9. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยซีเนอร์ไดโอดได้10.เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดหาจุดบกพร่องในวงจรควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยซีเนอร์ไดโอดได้
ซีเนอร์ไดโอดและการควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยซีเนอร์ไดโอด
หัวข้อเรื่องและงาน
1. สัญลักษณ์และคุณสมบัติของซีเนอร์ไดโอด 2. การพังทลายของซีเนอร์ 3. คุณลักษณะของการพังทลาย 4. วงจรสมมูลของซีเนอร์ไดโอด 5. ตารางคุณสมบัติของซีเนอร์ไดโอด 6. การต่อใช้งานซีเนอร์ไดโอด 7. การควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยซีเนอร์ไดโอด 8. การออกแบบวงจรควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยซีเนอร์ไดโอด
สาระสำคัญ
ซีเนอร์ไดโอดคือไดโอดที่ผลิตขึ้นมาจากสารกึ่งตัวนำชนิด P และ N มาต่อชนกันมีลักษณะโครงสร้างเหมือนกับไดโอดธรรมดาแตกต่างกันตรงการโด๊ปสารกึ่งตัวนำชนิด P และ N ซึ่งจะโด๊ปมากกว่าปกติ ทำให้การใช้งานต่างจากไดโอดธรรมดาซึ่งไดโอดธรรมดาจะใช้งานในช่วงการจ่ายแรงดันไบอัสตรง ส่วนซีเนอร์ไดโอดจะใช้งานในลักษณะจ่ายแรงดันไบอัสกลับ เมื่อซีเนอร์ไดโอดได้รับไบอัสกลับถึงค่าแรงดันที่กำหนด ซีเนอร์ไดโอดจะนำกระแส และจะเกิด แรงดันตกคร่อมตัวเองคงที่ เช่น 6 V , 9 V , 12 V เป็นต้น
การใช้ซีเนอร์ไดโอดควบคุมแรงดันให้คงที่ เหมาะสำหรับแหล่งจ่ายไฟตรงที่จ่ายกระแสได้ไม่สูงนัก แต่ต้องการแรงดันเอาท์พุทที่มีความราบเรียบโดยไม่มีระลอกคลื่น การต่อใช้งานซีเนอร์ไดโอด จะต่อในลักษณะไบอัสกลับและจะต้องมีตัวต้านทานต่ออนุกรมเพื่อจำกัดกระแส แรงดันอินพุตที่ป้อนให้ซีเนอร์ไดโอดจะต้องมากกว่าค่าแรงดันซีเนอร์เสมอ
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกสัญลักษณ์ของซีเนอร์ไดโอดได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายคุณสมบัติของซีเนอร์ไดโอดได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถเขียนวงจรสมมูลของซีเนอร์ ไดโอดได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกการต่อใช้งานซีเนอร์ไดโอดได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเพื่อหาคุณสมบัติของซีเนอร์ไดโอดได้6. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบซีเนอร์ไดโอดด้วยโอห์มมิเตอร์ได้7. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายหลักการทำงานของวงจรควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยซีเนอร์ไดโอดได้8. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกลักษณะวงจรเร็กกูเลเตอร์โดยใช้ซีเนอร์ไดโอดได้ 9. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยซีเนอร์ไดโอดได้10.เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดหาจุดบกพร่องในวงจรควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยซีเนอร์ไดโอดได้
วงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์
ชื่อหน่วย
วงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. ลักษณะวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์
2. การทำงานวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์
3. แรงดัน เอาท์พุทของวงจร
4. แรงดันสูงสุดด้านกลับ (Peak Inverse Voltage)
5. ไดโอดบริดจ์แบบต่างๆ
สาระสำคัญ
วงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์เป็นวงจรที่แก้ไขจุดอ่อนของวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงที่มีเซ็นเตอร์แท็ปซึ่งมีราคาแพง ไดโอดจะนำกระแสครั้งละตัวทำให้ทำงานหนัก ส่วนวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์ ไม่จำเป็นต้องใช้หม้อแปลงเซ็นเตอร์แท็ปทำให้ประหยัดขึ้นและไดโอดจะนำกระแสครั้งละ 2 ตัว ทำให้ไดโอดทนแรงดันสูงขึ้น เอาท์พุทของวงจร ตลอดจนรูปร่างจะมีลักษณะเหมือนกับวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นทุกอย่าง
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกลักษณะวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์ได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกรูปร่างแรงดันเอาท์พุทของวงจรได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถคำนวณหาแรงดันเอาท์พุทด้านกลับได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นแบบบริดจ์ได้6. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดแรงดันเอาท์พุทของวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์ได้
7. เพื่อให้นักเรียนรับผิดชอบต่อการปฏิบัติงาน
8. เพื่อให้นักเรียนมีความซื่อสัตย์ต่อการปฏิบัติงาน
9. เพื่อให้นักเรียนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการใช้ห้องปฏิบัติงาน
วงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์
หัวข้อเรื่องและงาน
1. ลักษณะวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์
2. การทำงานวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์
3. แรงดัน เอาท์พุทของวงจร
4. แรงดันสูงสุดด้านกลับ (Peak Inverse Voltage)
5. ไดโอดบริดจ์แบบต่างๆ
สาระสำคัญ
วงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์เป็นวงจรที่แก้ไขจุดอ่อนของวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงที่มีเซ็นเตอร์แท็ปซึ่งมีราคาแพง ไดโอดจะนำกระแสครั้งละตัวทำให้ทำงานหนัก ส่วนวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์ ไม่จำเป็นต้องใช้หม้อแปลงเซ็นเตอร์แท็ปทำให้ประหยัดขึ้นและไดโอดจะนำกระแสครั้งละ 2 ตัว ทำให้ไดโอดทนแรงดันสูงขึ้น เอาท์พุทของวงจร ตลอดจนรูปร่างจะมีลักษณะเหมือนกับวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นทุกอย่าง
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกลักษณะวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์ได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์ได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกรูปร่างแรงดันเอาท์พุทของวงจรได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถคำนวณหาแรงดันเอาท์พุทด้านกลับได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นแบบบริดจ์ได้6. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดแรงดันเอาท์พุทของวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์ได้
7. เพื่อให้นักเรียนรับผิดชอบต่อการปฏิบัติงาน
8. เพื่อให้นักเรียนมีความซื่อสัตย์ต่อการปฏิบัติงาน
9. เพื่อให้นักเรียนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการใช้ห้องปฏิบัติงาน
วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น
ชื่อหน่วย
วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น
หัวข้อเรื่องและงาน
1. ลักษณะวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น
2. การทำงานของวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น
3. วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นบวก
4. วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นลบ
สาระสำคัญ
วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น เป็นวงจรที่ทำหน้าที่แปลงไฟกระแสสลับเป็นไฟกระแสตรง(AC to DC) โดยใช้ไดโอดเพียงตัวเดียว อาศัยคุณสมบัติของไดโอดตรงที่สามารถนำกระแสได้ทางเดียว แรงดันเอาท์พุทที่ได้มีลักษณะเป็นพัลส์ ที่ยังไม่เรียบ แรงดันนี้จะยังไม่สามารถนำไปใช้ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ได้ จะต้องผ่านการกรองให้เรียบก่อน แรงดันเอาท์พุทที่ได้เมื่อเทียบกับแรงดันอินพุทยังมีประสิทธิภาพต่ำ
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกลักษณะของวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นได้
2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นบวกและครึ่งคลื่นลบได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นชนิดครึ่งคลื่นบวกและครึ่งคลื่นลบได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นโดยใช้มัลติมิเตอร์ และออสซิลโลสโคปได้
6. เพื่อให้นักเรียนมีความซื่อสัตย์
7. เพื่อให้นักเรียนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น
หัวข้อเรื่องและงาน
1. ลักษณะวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น
2. การทำงานของวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น
3. วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นบวก
4. วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นลบ
สาระสำคัญ
วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น เป็นวงจรที่ทำหน้าที่แปลงไฟกระแสสลับเป็นไฟกระแสตรง(AC to DC) โดยใช้ไดโอดเพียงตัวเดียว อาศัยคุณสมบัติของไดโอดตรงที่สามารถนำกระแสได้ทางเดียว แรงดันเอาท์พุทที่ได้มีลักษณะเป็นพัลส์ ที่ยังไม่เรียบ แรงดันนี้จะยังไม่สามารถนำไปใช้ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ได้ จะต้องผ่านการกรองให้เรียบก่อน แรงดันเอาท์พุทที่ได้เมื่อเทียบกับแรงดันอินพุทยังมีประสิทธิภาพต่ำ
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกลักษณะของวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นได้
2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นบวกและครึ่งคลื่นลบได้4. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นชนิดครึ่งคลื่นบวกและครึ่งคลื่นลบได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นโดยใช้มัลติมิเตอร์ และออสซิลโลสโคปได้
6. เพื่อให้นักเรียนมีความซื่อสัตย์
7. เพื่อให้นักเรียนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น
ชื่อหน่วย
วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น
หัวข้อเรื่องและงาน
1. ลักษณะวงจรเรียงกระแส เต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลาง
2. การทำงานวงจรเรียงกระแส เต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลาง
3.วงจรกรองแบบตัวเก็บประจุ (Capacitor Filter)
สาระสำคัญ
วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น จะใช้ไดโอด 2 ตัวในการเรียงกระแสโดยใช้หม้อแปลงแบบมีแท็ปกลางเป็นตัวแบ่งเฟสให้ไดโอด โดยไดโอดจะนำกระแสครั้งละตัวในแต่ละครึ่งของไฟสลับที่เข้ามา ทำให้ได้แรงดันที่เอาท์พุทตลอดช่วงของแรงดันไฟสลับที่เข้ามา วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นมีสองแบบ คือ แบบที่ใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลางร่วมกับไดโอด 2 ตัว และแบบที่มีไดโอดบริดจ์ 4 ตัวและหม้อแปลงไม่จำเป็นต้องมีแท็ปกลางก็ได้ แรงดันเอาท์พุทที่ได้จะสูงขึ้นกว่าแบบเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นเป็นสองเท่า
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกลักษณะวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลางได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายหลักการทำงานของวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลางได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายหลักการกรองกระแสด้วยตัวเก็บประจุได้
4. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลางได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลางโดยใช้มัลติมิเตอร์และออสซิลโลสโคปได้
วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น
หัวข้อเรื่องและงาน
1. ลักษณะวงจรเรียงกระแส เต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลาง
2. การทำงานวงจรเรียงกระแส เต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลาง
3.วงจรกรองแบบตัวเก็บประจุ (Capacitor Filter)
สาระสำคัญ
วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น จะใช้ไดโอด 2 ตัวในการเรียงกระแสโดยใช้หม้อแปลงแบบมีแท็ปกลางเป็นตัวแบ่งเฟสให้ไดโอด โดยไดโอดจะนำกระแสครั้งละตัวในแต่ละครึ่งของไฟสลับที่เข้ามา ทำให้ได้แรงดันที่เอาท์พุทตลอดช่วงของแรงดันไฟสลับที่เข้ามา วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นมีสองแบบ คือ แบบที่ใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลางร่วมกับไดโอด 2 ตัว และแบบที่มีไดโอดบริดจ์ 4 ตัวและหม้อแปลงไม่จำเป็นต้องมีแท็ปกลางก็ได้ แรงดันเอาท์พุทที่ได้จะสูงขึ้นกว่าแบบเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นเป็นสองเท่า
สมรรถนะที่พึงประสงค์ ( ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ )
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกลักษณะวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลางได้2. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายหลักการทำงานของวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลางได้3. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายหลักการกรองกระแสด้วยตัวเก็บประจุได้
4. เพื่อให้นักเรียนสามารถประกอบวงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลางได้5. เพื่อให้นักเรียนสามารถวัดและทดสอบวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลางโดยใช้มัลติมิเตอร์และออสซิลโลสโคปได้
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ลักษณะการใช้แสงไฟประดิษฐ์ภายในบ้านแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
แสงไฟพื้นฐาน (Background Light)เป็นแสงไฟหลักที่ให้แสงสว่างเพื่อทดแทนแสงธรรมชาติ เช่น แสงไฟจากดวงโคมติดเพดานไฟติดผนัง เป็นต้น
แสงไฟสำหรับการทำงาน (Task Light) เป็นแสงไฟที่ให้แสงสว่างในจุดที่มีการทำกิจกรรมใด ๆ เป็นพิเศษ หรือบริเวณที่อาจเกิดอันตรายได้ง่าย เช่น แสงไฟจากเคาน์เตอร์ห้องครัวเพื่อช่วยในหารใช้มีดทำอาหาร แสงไฟจากดวงโคมไฟสำหรับโต๊ะทำงาน แสงไฟสำหรับส่องกระจกเงาภายในห้องน้ำ หรือแสงไฟตู้เสื้อผ้า เป็นต้น
แสงไฟสำหรับการเน้นจุดสำคัญในการตกแต่ง (Accent Light)เป็นแสงไฟที่ติดตั้งไว้ในตำแหน่งที่ต้องการ เพิ่มบรรยากาศของห้อง มักเป็นแสงไฟส่องเฉพาะจุด ปรับองศาหรือความเข้มอ่อนของแสงไฟได้ เช่น ไฟส่องรูปภาพ ไฟตกแต่งซ่อนในตู้โชว์ หรือโคมไฟตั้งพื้น เป็นต้น
ส่วนชนิดของหลอดไฟ เราแบ่งได้ดังนี้
หลอดไฟชนิดเผาไส้ หรือหลอดอินแคนเดสเซนต์ (Incandescent Lamp) ลักษณะเป็นกระเปาะแก้วทรงกลม มีขดไส้เล็ก ๆ กลางหลอด ทำหน้าที่ให้แสงสว่าง ข้อดีคือให้แสงเป็นธรรมชาติ เปิดปุ๊ปติดปั๊ป สามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์หรี่ไฟ (Dimmer) ได้และราคาถูก แต่มีข้อเสียตรงที่อายุการใช้งานสั้น ให้ความสว่างไม่มากนัก และปล่อยความร้อนสูงทำให้สิ้นเปลืองค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะหากใช้ในห้องปรับอากาศส่วนใหญ่ เราจึงใช้เป็ฯแสงไฟสำหรับการทำงาน เช่น แสงไฟสำหรับการอ่านหนังสือ หรือใช้สำหรับเน้นบรรยากาศของห้อง เช่น ไฟส่องรูปภาพ หรือไฟซ่อนในตู้โชว์ซึ่งไม่ได้เปิดใช้ตลอดเวลา
หลอดไฟชนิคคายประจุ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า หลดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp) ตัวหลอดเป็นรูปแก้มกลมทรงกระบอกสีขาวขุ่น (มีทั้งชนิดตรงและชนิดกลม)ภายในบรรจุไอปรอทซึ่งเป็นตัวทำปฎิกิริยากับอิเล็กตรอน ทำให้เกิดพลังงานแสงไปกระทบกับสารเคมีเรืองแสงที่เคลือบไว้ด้านในหลอด เกิดเป็นแสงสว่างสีนวลตา มีการกระจายแสงดี ปล่อยความร้อนน้อยกว่า ข้อเสียของหลอดไฟชนิดนี้คือ ไม่สามารถเพิ่ม หรือลดแสงสว่างได้ หากแรงดันไฟฟ้าตกลงหลอดไฟชนิดนี้จะดับทันทีหลอดไฟฟลูออแรสเซนต์ชุดหนึ่งจะประกอบไปด้วยสตาร์ทเตอร์ (Starter) อุปกรณ์ช่วยในการกระตุ้นให้อิเล็กตรอนไหลเข้ามาในหลอดไฟ โดยมีบัลลาสต์ (Ballast) ทำหน้าที่เป็นตัวบังคับกระสไฟที่ผ่านหลอดให้คงที่
แสงไฟพื้นฐาน (Background Light)เป็นแสงไฟหลักที่ให้แสงสว่างเพื่อทดแทนแสงธรรมชาติ เช่น แสงไฟจากดวงโคมติดเพดานไฟติดผนัง เป็นต้น
แสงไฟสำหรับการทำงาน (Task Light) เป็นแสงไฟที่ให้แสงสว่างในจุดที่มีการทำกิจกรรมใด ๆ เป็นพิเศษ หรือบริเวณที่อาจเกิดอันตรายได้ง่าย เช่น แสงไฟจากเคาน์เตอร์ห้องครัวเพื่อช่วยในหารใช้มีดทำอาหาร แสงไฟจากดวงโคมไฟสำหรับโต๊ะทำงาน แสงไฟสำหรับส่องกระจกเงาภายในห้องน้ำ หรือแสงไฟตู้เสื้อผ้า เป็นต้น
แสงไฟสำหรับการเน้นจุดสำคัญในการตกแต่ง (Accent Light)เป็นแสงไฟที่ติดตั้งไว้ในตำแหน่งที่ต้องการ เพิ่มบรรยากาศของห้อง มักเป็นแสงไฟส่องเฉพาะจุด ปรับองศาหรือความเข้มอ่อนของแสงไฟได้ เช่น ไฟส่องรูปภาพ ไฟตกแต่งซ่อนในตู้โชว์ หรือโคมไฟตั้งพื้น เป็นต้น
ส่วนชนิดของหลอดไฟ เราแบ่งได้ดังนี้
หลอดไฟชนิดเผาไส้ หรือหลอดอินแคนเดสเซนต์ (Incandescent Lamp) ลักษณะเป็นกระเปาะแก้วทรงกลม มีขดไส้เล็ก ๆ กลางหลอด ทำหน้าที่ให้แสงสว่าง ข้อดีคือให้แสงเป็นธรรมชาติ เปิดปุ๊ปติดปั๊ป สามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์หรี่ไฟ (Dimmer) ได้และราคาถูก แต่มีข้อเสียตรงที่อายุการใช้งานสั้น ให้ความสว่างไม่มากนัก และปล่อยความร้อนสูงทำให้สิ้นเปลืองค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะหากใช้ในห้องปรับอากาศส่วนใหญ่ เราจึงใช้เป็ฯแสงไฟสำหรับการทำงาน เช่น แสงไฟสำหรับการอ่านหนังสือ หรือใช้สำหรับเน้นบรรยากาศของห้อง เช่น ไฟส่องรูปภาพ หรือไฟซ่อนในตู้โชว์ซึ่งไม่ได้เปิดใช้ตลอดเวลา
หลอดไฟชนิคคายประจุ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า หลดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp) ตัวหลอดเป็นรูปแก้มกลมทรงกระบอกสีขาวขุ่น (มีทั้งชนิดตรงและชนิดกลม)ภายในบรรจุไอปรอทซึ่งเป็นตัวทำปฎิกิริยากับอิเล็กตรอน ทำให้เกิดพลังงานแสงไปกระทบกับสารเคมีเรืองแสงที่เคลือบไว้ด้านในหลอด เกิดเป็นแสงสว่างสีนวลตา มีการกระจายแสงดี ปล่อยความร้อนน้อยกว่า ข้อเสียของหลอดไฟชนิดนี้คือ ไม่สามารถเพิ่ม หรือลดแสงสว่างได้ หากแรงดันไฟฟ้าตกลงหลอดไฟชนิดนี้จะดับทันทีหลอดไฟฟลูออแรสเซนต์ชุดหนึ่งจะประกอบไปด้วยสตาร์ทเตอร์ (Starter) อุปกรณ์ช่วยในการกระตุ้นให้อิเล็กตรอนไหลเข้ามาในหลอดไฟ โดยมีบัลลาสต์ (Ballast) ทำหน้าที่เป็นตัวบังคับกระสไฟที่ผ่านหลอดให้คงที่
มัลติมิเตอร์แบบตัวเลข
มัลติมิเตอร์แบบตัวเลข (Digital Multimeter, DMM) สามารถวัดปริมาณทางไฟฟ้าได้หลายประเภท เช่นเดียวกับมัลติมิเตอร์แบบเข็ม นอกจากนี้ยังสามารถวัดปริมาณกระแสสลับ วัดการขยายกระแสตรงของทรานซิสเตอร์ วัดความจุไฟฟ้าและตรวจสอบไดโอดได้อีกด้วย
มัลติมิเตอร์แบบตัวเลข มีลักษณะดังภาพข้างล่าง
มัลติมิเตอร์แบบตัวเลข ส่วนประกอบที่สำคัญของมัลติมิเตอร์แบบตัวเลข
1. จอแสดงผล (display)
2. สวิตซ์เปิด-ปิด (ON-OFF)
3. สวิตช์เลือกปริมาณที่จะวัดและช่วงการวัด (range selector switch) สามารถเลือกการวัดได้ 8 อย่าง ดังนี้
1. DCV สำหรับการวัดความต่างศักย์ไฟฟ้ากระแสตรง มี 5 ช่วงการวัด2. ACV สำหรับการวัดความต่างศักย์ไฟฟ้ากระแสสลับ มี 5 ช่วงการวัด3. DCA สำหรับการวัดปริมาณกระแสตรง มี 3 ช่วงการวัด4. ACA สำหรับการวัดปริมาณกระแสสลับ มี 2 ช่วงการวัด5. สำหรับการวัดความต้านทาน มี 6 ช่วงการวัด6. CX สำหรับการวัดความจุไฟฟ้า มี 5 ช่วงการวัด7. hFE สำหรับการวัดการขยายกระแสตรงของทรานซิสเตอร์8. สำหรับตรวจสอบไดโอด
4. ช่องเสียบสายวัดร่วม :(COM) ใช้เป็นช่องเสียบร่วมสำหรับการวัดทั้งหมด (ยกเว้นการวัด CX และ hFE ไม่ต้องใช้สายวัด)
5. ช่องเสียบสายวัด mA สำหรับวัด DCA และ ACA ที่มีขนาด 0-200 mA
6. ช่องเสียบสายวัด 10A สำหรับวัด DCA และ ACA ที่มีขนาด 200 mA-10A
7. ช่องเสียบสำหรับวัดการขยายกระแสตรงของทรานซิสเตอร์
8. ช่องเสียงสำหรับวัดความจุไฟฟ้า
9. ช่องเสียบสายวัด V
นอกจากนี้บนแผงหน้าของมัลติมิเตอร์แบบตัวเลขยังมีสัญลักษณ์เพื่อความปลอดภัย (safety symbols) กำกับไว้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สากลสำหรับเตือนผู้ใช้ให้มีความระมัดระวังในการใช้เครื่องมือ เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ใช้เองและให้เครื่องมืออยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งานได้เสมอ สัญลักษณ์ที่กล่าวนี้ได้แก่
หมายถึง ให้ดูคำอธิบายในคู่มือ หมายถึง ความต่างศักย์ไฟฟ้าสูง ลักษณะเฉพาะบางประการของเครื่องวัด
1. จอแสดงผล (display) แสดงด้วยตัวเลข หลัก ( digit) เนื่องจากค่าสูงสุดที่สามารถแสดงได้คือ 1999 ตัวเลขหลักที่ 1, 2 และ 3 (นับจากขวาสุดไปทางซ้าย) แปรค่าได้จาก 0 ถึง 9 (เรียกว่า full digit) ส่วนตัวเลขหลักที่ 4 จะแสดงตัวเลขได้เฉพาะ 1 เท่านั้น (เรียกว่า half digit)
2. สภาพขั้ว (polarity) ในการวัดปริมาณทางไฟฟ้าบางชนิดเช่นความต่างศักย์ไฟฟ้ากระแสตรงด้วยเครื่องวัดที่ใช้เข็มชี้เป็นตัวแสดงผล เมื่อต่อสายวัดผิดขั้ว เข็มของเครื่องวัดจะตีกลับในทิศตรงข้าม ในสภาวะเช่นนี้สำหรับมัลติมิเตอร์แบบตัวเลขจะปรากฏเครื่องหมาย - บนจอแสดงผล
3. ในการวัดปริมาณใด ๆ ที่ตั้งช่วงการวัดต่ำกว่าค่าที่จะวัด จอแสดงผลจะแสดงตัวเลข 1 หรือ -1 เช่น จะวัดความต้านทาน 10 k แต่ตั้งช่วงการวัดไว้ที่ 0-2 k จะปรากฏ 1 แสดงว่าค่าที่จะวัดสูงกว่าช่วงการวัดที่ตั้งไว้
4. เมื่อแหล่งจ่ายกำลังให้เครื่องวัด คือ แบตเตอรี่ 9V อ่อนกำลัง LO BAT จะปรากฎบนจอเตือนให้ผู้ใช้เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ ความแม่น (accuracy) ของเครื่องวัด
ค่าที่อ่านได้จากเครื่องวัดจะมีความเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความแม่นของเครื่องวัด ซึ่งจะระบุไว้ในคู่มือการใช้เครื่องมือนั้น ๆ การบอกความแม่นมีวิธีบอกได้หลายแบบ มัลติมิเตอร์แบบเข็ม ซึ่งเป็นเครื่องวัดที่ใช้การเบี่ยงเบนของเข็มชี้เป็นตัวแสดงผล บอกความแม่นเป็น %fs สำหรับมัลติมิเตอร์แบบตัวเลขนิยมบอกความแม่นเป็น (% reading + number of digits of error) เขียนย่อเป็น (%rdg + no. of dgt) ซึ่งจะมีค่าเปลี่ยนไปสำหรับแต่ละปริมาณที่จะวัด และอาจจะเปลี่ยนไปได้อีกเมื่อเปลี่ยนช่วงการวัด ดังตัวอย่างในตาราง
มัลติมิเตอร์แบบตัวเลข มีลักษณะดังภาพข้างล่าง
มัลติมิเตอร์แบบตัวเลข ส่วนประกอบที่สำคัญของมัลติมิเตอร์แบบตัวเลข
1. จอแสดงผล (display)
2. สวิตซ์เปิด-ปิด (ON-OFF)
3. สวิตช์เลือกปริมาณที่จะวัดและช่วงการวัด (range selector switch) สามารถเลือกการวัดได้ 8 อย่าง ดังนี้
1. DCV สำหรับการวัดความต่างศักย์ไฟฟ้ากระแสตรง มี 5 ช่วงการวัด2. ACV สำหรับการวัดความต่างศักย์ไฟฟ้ากระแสสลับ มี 5 ช่วงการวัด3. DCA สำหรับการวัดปริมาณกระแสตรง มี 3 ช่วงการวัด4. ACA สำหรับการวัดปริมาณกระแสสลับ มี 2 ช่วงการวัด5. สำหรับการวัดความต้านทาน มี 6 ช่วงการวัด6. CX สำหรับการวัดความจุไฟฟ้า มี 5 ช่วงการวัด7. hFE สำหรับการวัดการขยายกระแสตรงของทรานซิสเตอร์8. สำหรับตรวจสอบไดโอด
4. ช่องเสียบสายวัดร่วม :(COM) ใช้เป็นช่องเสียบร่วมสำหรับการวัดทั้งหมด (ยกเว้นการวัด CX และ hFE ไม่ต้องใช้สายวัด)
5. ช่องเสียบสายวัด mA สำหรับวัด DCA และ ACA ที่มีขนาด 0-200 mA
6. ช่องเสียบสายวัด 10A สำหรับวัด DCA และ ACA ที่มีขนาด 200 mA-10A
7. ช่องเสียบสำหรับวัดการขยายกระแสตรงของทรานซิสเตอร์
8. ช่องเสียงสำหรับวัดความจุไฟฟ้า
9. ช่องเสียบสายวัด V
นอกจากนี้บนแผงหน้าของมัลติมิเตอร์แบบตัวเลขยังมีสัญลักษณ์เพื่อความปลอดภัย (safety symbols) กำกับไว้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สากลสำหรับเตือนผู้ใช้ให้มีความระมัดระวังในการใช้เครื่องมือ เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ใช้เองและให้เครื่องมืออยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งานได้เสมอ สัญลักษณ์ที่กล่าวนี้ได้แก่
หมายถึง ให้ดูคำอธิบายในคู่มือ หมายถึง ความต่างศักย์ไฟฟ้าสูง ลักษณะเฉพาะบางประการของเครื่องวัด
1. จอแสดงผล (display) แสดงด้วยตัวเลข หลัก ( digit) เนื่องจากค่าสูงสุดที่สามารถแสดงได้คือ 1999 ตัวเลขหลักที่ 1, 2 และ 3 (นับจากขวาสุดไปทางซ้าย) แปรค่าได้จาก 0 ถึง 9 (เรียกว่า full digit) ส่วนตัวเลขหลักที่ 4 จะแสดงตัวเลขได้เฉพาะ 1 เท่านั้น (เรียกว่า half digit)
2. สภาพขั้ว (polarity) ในการวัดปริมาณทางไฟฟ้าบางชนิดเช่นความต่างศักย์ไฟฟ้ากระแสตรงด้วยเครื่องวัดที่ใช้เข็มชี้เป็นตัวแสดงผล เมื่อต่อสายวัดผิดขั้ว เข็มของเครื่องวัดจะตีกลับในทิศตรงข้าม ในสภาวะเช่นนี้สำหรับมัลติมิเตอร์แบบตัวเลขจะปรากฏเครื่องหมาย - บนจอแสดงผล
3. ในการวัดปริมาณใด ๆ ที่ตั้งช่วงการวัดต่ำกว่าค่าที่จะวัด จอแสดงผลจะแสดงตัวเลข 1 หรือ -1 เช่น จะวัดความต้านทาน 10 k แต่ตั้งช่วงการวัดไว้ที่ 0-2 k จะปรากฏ 1 แสดงว่าค่าที่จะวัดสูงกว่าช่วงการวัดที่ตั้งไว้
4. เมื่อแหล่งจ่ายกำลังให้เครื่องวัด คือ แบตเตอรี่ 9V อ่อนกำลัง LO BAT จะปรากฎบนจอเตือนให้ผู้ใช้เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ ความแม่น (accuracy) ของเครื่องวัด
ค่าที่อ่านได้จากเครื่องวัดจะมีความเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความแม่นของเครื่องวัด ซึ่งจะระบุไว้ในคู่มือการใช้เครื่องมือนั้น ๆ การบอกความแม่นมีวิธีบอกได้หลายแบบ มัลติมิเตอร์แบบเข็ม ซึ่งเป็นเครื่องวัดที่ใช้การเบี่ยงเบนของเข็มชี้เป็นตัวแสดงผล บอกความแม่นเป็น %fs สำหรับมัลติมิเตอร์แบบตัวเลขนิยมบอกความแม่นเป็น (% reading + number of digits of error) เขียนย่อเป็น (%rdg + no. of dgt) ซึ่งจะมีค่าเปลี่ยนไปสำหรับแต่ละปริมาณที่จะวัด และอาจจะเปลี่ยนไปได้อีกเมื่อเปลี่ยนช่วงการวัด ดังตัวอย่างในตาราง
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ตัวต้านทาน
รหัสสีของตัวต้านทาน
ดำ = 0
น้ำตาล = 1
แดง = 2
ส้ม = 3
เหลือง = 4
เขียว = 5
น้ำเงิน = 6
ม่วง = 7
เทา = 8
ขาว = 9
ทอง = + /- 5%
เงิน = +/- 10%
การอ่านค่าความต้านทานจากรหัสสีบนตัวต้านทาน
แถบสีที่ 1 บอกเลขตัวแรกของค่าความต้านทาน
แถบสีที่ 2 บอกเลขตัวที่ 2 ของค่าความต้านทาน
แถบสีที่ 3 บอกตัวคูณกับตัวเลข 2 ตัวแรก หรือ บอกจำนวนเลขศูนย์หลังเลข 2 ตัวแรก
แถบสีที่ 4 บอกถึงค่าความเคลื่อนของตัวต้านทาน สีทองจะมีความคลาดเคลื่อน 5 % สีเงินจะมีความคลาดเคลื่อน 10 %
วิธีการใช้
ใช้เมาส์ลากไปที่แถบสีที่ต้องการเลือก
ทำการคลิกและลากไปใส่ที่แถบตัวต้านทาน
จากนั้นจึงสามารถอ่านค่าความต้านทานที่ต้องการได้
นำมาจาก หมวดวิชาวิทยาศาสตร์ โรงเรียนเซนต์ดอมินิก ฟิสิกส์ราชมงคล ขอบคุณครับ
ดำ = 0
น้ำตาล = 1
แดง = 2
ส้ม = 3
เหลือง = 4
เขียว = 5
น้ำเงิน = 6
ม่วง = 7
เทา = 8
ขาว = 9
ทอง = + /- 5%
เงิน = +/- 10%
การอ่านค่าความต้านทานจากรหัสสีบนตัวต้านทาน
แถบสีที่ 1 บอกเลขตัวแรกของค่าความต้านทาน
แถบสีที่ 2 บอกเลขตัวที่ 2 ของค่าความต้านทาน
แถบสีที่ 3 บอกตัวคูณกับตัวเลข 2 ตัวแรก หรือ บอกจำนวนเลขศูนย์หลังเลข 2 ตัวแรก
แถบสีที่ 4 บอกถึงค่าความเคลื่อนของตัวต้านทาน สีทองจะมีความคลาดเคลื่อน 5 % สีเงินจะมีความคลาดเคลื่อน 10 %
วิธีการใช้
ใช้เมาส์ลากไปที่แถบสีที่ต้องการเลือก
ทำการคลิกและลากไปใส่ที่แถบตัวต้านทาน
จากนั้นจึงสามารถอ่านค่าความต้านทานที่ต้องการได้
นำมาจาก หมวดวิชาวิทยาศาสตร์ โรงเรียนเซนต์ดอมินิก ฟิสิกส์ราชมงคล ขอบคุณครับ
เทคนิคการใช้รถ
ยิ่งอ้วนยิ่งเปลือง รถไม่ใช่โกดังเก็บของ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรเก็บไว้กับรถ เพราะน้ำหนักบรรทุกที่เพิ่มขึ้น เพียง 10 กิโลกรัม จะทำให้เปลือง ค่าน้ำมันมากขึ้นกว่า 60 บาท ต่อเดือนเร็วคุณภาพ เร็วอย่างมีคุณภาพ คือ ความเร็ว 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพราะประหยัดน้ำมันได้มากที่สุด หากขับรถทางไกล แล้วชอบซิ่งด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลองเปลี่ยนมาขับนิ่ม ๆ ที่ 90 ดู นอกจากจะช่วยให้ไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกปรับแล้วยังช่วยประหยัด ได้ตั้ง 125 บาท ต่อเดือน ติดเครื่อง เปลืองแน่ หากชอบเปิดแอร์ นอนเล่น หรือชอบติดเครื่องตอนจอดคอย เพียงครั้งละ 10 นาที เดือนละ 10 ครั้ง นอกจากจะเปลือกน้ำมัน 45 บาท ต่อเดือนแล้ว น้ำมันที่เผาไหม้ไม่หมด ซึ่งอาจหลงเหลืออยู่ใน กระบอกสูบจะเป็นตัวการทำให้เครื่องยนต์สึกหรออีกด้วยออกเร่ง เบรกดัง พังเร็ว การออกรถกระโชกกระชาก เลี้ยวอย่างเร็ว เบรกอย่างแรง เป็นฉนวนของอุบัติเหตุได้ง่าย และเป็นวิธีทำลายรถ อย่างได้ผลชะงัด เพราะทั้งเครื่องยนต์ เครื่องส่งกำลัง ผ้าเบรก และยางรถ จะชำรุดสึกหรอได้เร็วขึ้นทันตาเห็นเลย นอกจากนี้หากติดนิสัยชอบเร่งเครื่องแรง ๆ ตอนออกรถสักวันละ 10 ครั้ง จะเสียน้ำมันเปล่า ๆ เดือนละ 60 บาทอีก ด้วยปิด แอร์ บ้างนะ รถที่ใช้ แอร์ จะสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างน้อยก็ร้อยละ 10 ขึ้นไป ถ้าเลือกเปิดได้ เฉพาะเวลาที่จำเป็น เช่น เช้า ๆ เปิดกระจกรับอากาศยามเช้าก็ไม่เลว ลดการใช้แอร์ลงแค่ 10% ของการใช้แอร์ตามปกติ ก็ประหยัดเงินได้อีก 40 บาท ต่อเดือนสบาย ๆ สูง-สูง ต่ำ-ต่ำการใช้เกียร์ควรสัมพันธ์กับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ (ก็เขาสร้างของเขามาอย่างนั้น) ความเร็วสูงยังฝืนลากเกยร์ต่ำ (เกียร์ 1,2) ความเร็วยังต่ำรีบไปใช้เกียร์สูง (เกียร์ 3,4,5) กำลังเครื่องก็ตก เครื่องก็รีบพังก่อนเวลาอันควร และจะสิ้นเปลือง กว่าปกติอีก 85 บาทต่อเดือนรักคลัตซ์อย่าเลี้ยงคลัตซ์อย่าแช่คลัตซ์โดยไม่จำเป็น สิ้นเปลืองคลัตซ์ และน้ำมันเชื้อเพลิง ใช้เบรก หรือเบรกมือช่วยแทนดีกว่า เวลาหยุดควรเหยียบคลัต์ การเร่งเครื่องแรง ขณะออกรถโดยยังไม่ปล่อยคลัตซ์ไม่สุด หรือเข้าเกียร์แล้วยังวางเท้าบนแป้นเหยียบคลัตซ์ก็เป็นการ หาเรื่องอุปกรณ์ในระบบคลัตซ์สึกหรอ และเปลืองน้ำมันเปล่า ๆ ด้วยไม่ติด ไม่คอย เข้าซอยลัดวางแผนในการขับรถล่วงหน้า เลือกเส้นทางลัดเพื่อประหยัดเวลา และอารมณ์ที่เสียเปล่า จากรถติด หรือหลงทาง ท่านอาจจะประหยัด ได้มากกว่าเดือนละ 420 บาทไม่ “ เบิ้ล “ เอาเท่าไรถ้าไม่อยากให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็ว ก็อย่าเร่งเครื่อง หรือ “ เบิ้ล” น้ำมันโดยไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็น ขณะจอดอยู่เฉย ๆ เปลี่ยนเกียร์ หรือก่อนดับเครื่องยนต์ จะช่วยให้ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันอย่างสูญเปล่าอีก 20 บาท ต่อเดือนมองล่วงหน้า รักษาเบรกเตรียมตัวล่วงหน้าเมื่อจะถึงสี่แยก สัญญาณไฟ หรือป้ายสัญญาณ ช่วยให้ไม่ต้องเบรกอย่างพร่ำเพรื่อ และรุนแรง หรือเสี่ยงการเปลี่ยนช่องทางวิ่งบ่อย ๆ ซึ่งอาจทำใต้องเร่งเครื่องอย่างเร็ว และหยุดอย่างกระทันหัน จะเป็นการประหยัดน้ำมัน และรักษาผ้าเบรก จานเบรกไว้ใช้กันตอปาน ๆ ยางอ่อนการสูบลมยางให้เหมาะสมนอกจากจะประหยัด น้ำมันแล้ว ยังทำให้อายุยางยืนยาวขึ้นด้วย ลมยางที่อ่อนไปเพียง 4 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว ในช่วง 10 วัน ที่ละเลยจะทำให้เปลืองน้ำมัน เพิ่มขึ้นถึง 125 บาทคาร์บูเรเตอร์สกปรกไม่มีใครชอบความสกปรก แม้แต่รถ หากใช้รถโดยที่คาร์บูเรเตอร์สกปรกเพียง 10 วัน จะเสียเงินค่าน้ำมันส่วนเกินอีก 210 บาท ไปฟรี ๆ หัวเทียนบอดหากหัวเทียนบอด หรือเสื่อมคุณภาพ รถยนต์จะวิ่งได้ระยะทางน้อยลง 0.85 กิโลเมตรต่อน้ำมัน 1 ลิตร ใน 10 วัน คิดเป็นน้ำมันสูญเสียประมาณ 125 บาทไส้กรองอากาศอุดตันดูแลความสะอาดไส้กรองอากาศบ่อย ๆ และหากมีสิ่งอุดตันมาก ก็สมควรเปลี่ยนใหม่ ได้แล้วอย่าเหนียว ทั้งนี้เพราะไส้กรองอากาศ ที่อุดตันใน 1 เดือน จะทำให้รถสิ้นเปลือง น้ำมันประมาณ 210 บาทเบรกเสื่อมระบบเบรกก็ควรได้รับการตรวจสอบดูแลด้วยเหมือนกัน หากผ้าเบรกเสียดสีจานล้ออยู่เสมอ ( เบรกติด หรือเบรกตาย หรือตั้งระยะไม่ถูกต้อง) จะเป็นผลให้ต้องใช้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ประมาณ 85 บาท ต่อเดือนน้ำมันเครื่องหมดอายุน้ำมันเครื่อง เป็นเรื่องสำคัญของการบำรุงรักษารถ ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และไส้กรอง น้ำมันเครื่องตามกำหนด เลือกใช้น้ำมันเครื่องเกรดให้ถูกต้องกับสภาพเครื่องยนต์ จะลดแรงเสียดทานภายในเครื่องยนต์ให้ดีขึ้น ทำให้สามารถประหยัดเชื้อเพลิงได้มากขึ้นด้วยแก็สโซฮอล์ 95“ แก็สโซฮอล์ พลังงานแอการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน” พึ่งพาตัวเองทางเศรษฐกิจ : สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิตทางการเกษตร ทดแทนการนำเข้าสาร MTBE ลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ และช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น พึ่งพาตนเองด้านพลังงาน: เป็นพลังงานทดแทนบางส่วน จากเดิมที่ต้องสูญเสียเงินตราต่างประเทศเพื่อนำเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิงทั้งหมด พึ่งพาตนเองทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อม : ลดการเกิด มลภาวะจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะช่วยให้คนไทย เผชิญกับมลภาวะน้อยลง มีสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตดีขึ้น
การประหยัดพลังงานภายในบ้าน
การประหยัดพลังงานภายในบ้าน ตอนที่1
“บ้าน” เป็นสถานที่อยู่อาศัยและพักผ่อน และโดยทั่วไปบ้านจะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นเช่น หลอดไฟฟ้า โทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น เตารีด และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวก เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น เป็นต้น ซึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ล้วนต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น ดังนั้นหากรู้จักวิธีใช้ หรือรู้จักเลือกซื้อก็จะช่วยประหยัดพลังงานและค่าใชจ่ายสำหรับครอบครัวได้ แนวทางการประหยัดพลังงานในบ้าน 1. ออกแบบบ้านและหันทิศทางของบ้านให้เหมาะสม เลือกซื้อบ้านหรือออกแบบบ้านที่มีลักษณะโปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวกมีการระบาย ความร้อนได้ดีสำหรับทิศทางของบ้านควรหันหน้าไปในแนวทิศเหนือ-ใต้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แสงอาทิตย์เข้าสู่ช่องเปิดของตัวบ้านโดยตรงหากหลีก เลี่ยงไม่ได้ควรใช้อุปกรณ์บังแสงแดด เช่น ติดตั้งกันสาดหรือปลูกต้นไม้ช่วย 2. สร้างบ้านด้วยวัสดุที่เป็นฉนวนกันความร้อนได้ดี โดยสร้างให้ตั้งแต่หลังคาจนถึงผนัง 3. จัดวางตำแหน่งพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนจากแสงแดดตามลักษณะการใช้งาน - ห้องนอน ควรตั้งอยู่ทิศตะวันออก เพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดช่วงบ่าย - ห้องเก็บของ ที่จอดรถ ห้องซักผ้า ห้องน้ำ ห้องครัว ควรอยู่ทิศตะวันตก เพื่อเป็นส่วนกันความร้อนเข้าตัวบ้าน - ห้องพักผ่อนหรือห้องที่ต้องใช้งานอยู่ทั้งวัน ควรตั้งอยู่ทางทิศเหนือ เพราะจะถูกแสงแดดน้อยกว่าด้านอื่น ๆ - ห้องรับแขก ควรตั้งอยู่ในแนวทิศเหนือ – ใต้ - ห้องนั่งเล่น ควรตั้งอยู่ในทิศใต้ โดยอาจทำระเบียงและพุ่มไม้เพื่อป้องกันแสงแดด 4. ปลูกต้นไม้เพื่อให้ร่มเงาแก่ตัวบ้าน ช่วยเพิ่มร่มเงาให้กับตัวบ้าน ทำให้อากาศภายในบ้านเย็นสบายขึ้น จึงช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศลง 5. เลือกซื้อแต่อุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงาน เช่น เลือกซื้อเครื่องปรับอากาศเบอร์ 5 หรือตู้เย็นที่มีฉลากเบอร์ 5 ใหม่ 2001 ซึ่งประหยัดพลังงานมากกว่าเบอร์ 5 เดิมร้อยละ 20 เป็นต้น 6. ใช้น้ำอย่างประหยัด น้ำประปาที่เราใช้มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติแต่ผ่านกระบวนการกรองและฆ่าเชื้อจน สะอาดและบริโภคได้ ซึ่งต้องอาศัยพลังานในกระบวนการเหล่านั้น การใช้น้ำอย่างประหยัดจึงเป็นการประหยัดพลังงานด้วย - ใช้หัวก๊อกน้ำที่มีอุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของน้ำ - ปิดก๊อกน้ำในระหว่างแปรงฟัน สระผม หรือโกนหนวด - ใช้ไม้กวาดในการกวาดพื้น แทนการใช้น้ำฉีดเพื่อทำความสะอาด - ล้างรถด้วยฟองน้ำและรองน้ำใส่ถัง แทนการใช้สายยางฉีดน้ำโดยตรง - ใช้น้ำจากการซักล้าง เช่น น้ำสุดท้ายของการซักผ้า หรือน้ำจากการถูพื้นเพื่อรดน้ำต้นไม้ แทนการใช้น้ำประปา 7. การใช้เตาก๊าซ - ควรเลือกใช้ถังก๊าซที่มีเครื่องหมายสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) - ตั้งเตาก๊าซให้ห่างจาถังก๊าซโดยใช้สายยาง หรือสายพลาสติกให้มีความยาวห่างจากถังก๊าซประมาณ 1-1.5 เมตร - เมื่อเลิกใช้ ปิดวาล์วที่ตัวถังก่อน แล้วจึงปิดปิดวาล์วที่ตัวเตา 8. การใช้เตาถ่าน ควรเลือกใช้เตาถ่านชนิดที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะมีลักษณะขอบเตาเรียบเสมอกัน เส้าของเตามีส่วนลาดมากกว่า ทำให้ใช้กับหม้อได้หลายขนด มีช่องบรรจุถ่านไม่กว้างใหญ่เกินไป มีรังผึ้งที่หนาทนทาน และรูรังผึ้งเล็กจึงช่วยรีดอากาศได้ดี - เตรียมกาหารสด เครื่องปรุง และอุปกรณ์การทำอาหารให้พร้อมก่อนติดไฟรอนานเกินไปจะสิ้นเปลืองถ่าน - เลือกขนาดของหม้อหรือกระทะให้เหมาะสมกับปริมาณและประเภทของอาหารที่จะปรุง - ควรทุบถ่านให้มีขนาดพอเหมาะ คือ ชิ้นละประมาณ 2 – 4 ซม. - ไม่ควรใส่ถ่านมากจนล้นเตา - เก็บรักษาถ่านอย่าให้เปียกชื้น เพราะถ่านจะติดไฟยากและแตกประทุทำให้สิ้นเปลือง - ขจัดขี้เถ้าในรังผึ้งและใต้รังผึ้งออกให้หมดก่อนที่จะติดเตาใหม่ทุกครั้ง จะทำให้การเผาไหม้ถ่านดีขึ้น 9. การใช้หลอดแสงสว่าง - ปิดไฟเมื่อใช้งาน - หมั่นทำความสะอาดหลอดแสงสว่างและโคมไฟ - ใช้หลอดแสงสว่างเท่าที่จำเป็น - สำหรับสถานที่ที่ต้องเปิดไฟทิ้งไว้ตลอดคืน ควรใช้หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ - บริเวณใดที่เคยใช้หลอดไส้ในการให้แสงสว่าง ควรหันมาเปลี่ยนเป็นหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ - ใช้หลอดประหยัดพลังงาน เช่น หลอดผอม ซึ่งประหยัดพลังงานมากกว่า หลอดไส้ 4 – 5 เท่า และมี อายุการใช้งานมานกว่า 8 เท่า - ใช้แสงอาทิตย์แทนการเปิดหลอดไฟ เช่น ห้องครัว ห้องเก็บของ ห้องน้ำ ทางเดิน เป็นต้น - ควรทาสีผนังห้องหรือเลือกวัสดุพื้นห้องที่เป็นสีอ่อน ๆ เพื่อช่วยสะท้อนแสงสว่างภายในห้อง 10. การใช้ตู้เย็น - เลือกใช้ตู้เย็นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ใหม่ 2001 ซึ่งประหยัดไฟกว่าเบอร์ 5 เดิม ร้อยละ 20 - เลือกใช้แบบที่มีฉนวนกันความร้อนชนิดโฟมฉีด - ตู้เย็นแบบประตูเดียว จะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าแบบ 2 ประตูในขนาดที่เท่ากัน - อย่าติดตั้งตู้เย็นใกล้แหล่งความร้อน - ควรตั้งห่างจากฝาผนังทั้งด้านหลังและด้านข้างไม่น้อยกว่า 15 ซม. เพื่อให้มีการระบายความร้อนได้ดี - ควรตั้งอุณหภูมิภายในตู้เย็น 3 – 6 องศาC และในช่องแช่แข็งระหว่าง 15-18 องศา C - อย่าเปิดตู้เย็นบ่อย หรือเปิดประตูค้างไว้นาน ๆ - อย่านำของที่มีความร้อนเข้าไปแช่ - ละลายน้ำแข็งสม่ำเสมอ 11. การใช้เครื่องปรับอากาศ เลือกขนาดที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่นห้องที่มีความสูงไม่เกิน 3 เมตร และมีพื้นที่ห้องขนาด 13 – 15 ตร.ม. ควรใช้ขนาด 7,000 – 9,000 บีทียู/ชั่วโมง ขนาดพื้นที่ 16 – 17 ตร.ม. ควรใช้ขนาด 9,000 – 11,000 บีทียู/ชั่วโมง เป็นต้น - ใช้เครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสุดซึ่งแสดงด้วยหน่วย EER(Energy Efficiency Ratio) คือ อัตราส่วนระหว่างความสามารถในการให้ความเย็นของเครื่องต่อกำลังไฟฟ้า (บีทียู/ชั่วโมง/วัตต์) ซึ่งเครื่องที่มีค่า EER สูงจะให้ความเย็นมาก และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเครื่องที่มีค่า EER ต่ำ - หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ ไม่ให้มีฝุ่นจับ เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการทำความเย็นลดลง - เลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 12. การใช้เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า - ควรเลือกชนิดที่มีที่เก็บความร้อน เพราะจะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าแบบไหลผ่านขดลวดความร้อน - เลือกขนาดของเครื่องให้เหมาะสมกับครอบครัวและความจำเป็นในการใช้ - ไม่เปิดเครื่องตลอดเวลา ในการฟอกสบู่อาบน้ำหรือขณะสระผม - ปิดวาล์วน้ำและสวิตซ์ทันทีเมื่อเลิกใช้งาน - ควรให้เฉพาะวันที่มีอากาศเย็น หรือเท่าที่จำเป็น
“บ้าน” เป็นสถานที่อยู่อาศัยและพักผ่อน และโดยทั่วไปบ้านจะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นเช่น หลอดไฟฟ้า โทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น เตารีด และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวก เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น เป็นต้น ซึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ล้วนต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น ดังนั้นหากรู้จักวิธีใช้ หรือรู้จักเลือกซื้อก็จะช่วยประหยัดพลังงานและค่าใชจ่ายสำหรับครอบครัวได้ แนวทางการประหยัดพลังงานในบ้าน 1. ออกแบบบ้านและหันทิศทางของบ้านให้เหมาะสม เลือกซื้อบ้านหรือออกแบบบ้านที่มีลักษณะโปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวกมีการระบาย ความร้อนได้ดีสำหรับทิศทางของบ้านควรหันหน้าไปในแนวทิศเหนือ-ใต้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แสงอาทิตย์เข้าสู่ช่องเปิดของตัวบ้านโดยตรงหากหลีก เลี่ยงไม่ได้ควรใช้อุปกรณ์บังแสงแดด เช่น ติดตั้งกันสาดหรือปลูกต้นไม้ช่วย 2. สร้างบ้านด้วยวัสดุที่เป็นฉนวนกันความร้อนได้ดี โดยสร้างให้ตั้งแต่หลังคาจนถึงผนัง 3. จัดวางตำแหน่งพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนจากแสงแดดตามลักษณะการใช้งาน - ห้องนอน ควรตั้งอยู่ทิศตะวันออก เพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดช่วงบ่าย - ห้องเก็บของ ที่จอดรถ ห้องซักผ้า ห้องน้ำ ห้องครัว ควรอยู่ทิศตะวันตก เพื่อเป็นส่วนกันความร้อนเข้าตัวบ้าน - ห้องพักผ่อนหรือห้องที่ต้องใช้งานอยู่ทั้งวัน ควรตั้งอยู่ทางทิศเหนือ เพราะจะถูกแสงแดดน้อยกว่าด้านอื่น ๆ - ห้องรับแขก ควรตั้งอยู่ในแนวทิศเหนือ – ใต้ - ห้องนั่งเล่น ควรตั้งอยู่ในทิศใต้ โดยอาจทำระเบียงและพุ่มไม้เพื่อป้องกันแสงแดด 4. ปลูกต้นไม้เพื่อให้ร่มเงาแก่ตัวบ้าน ช่วยเพิ่มร่มเงาให้กับตัวบ้าน ทำให้อากาศภายในบ้านเย็นสบายขึ้น จึงช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศลง 5. เลือกซื้อแต่อุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงาน เช่น เลือกซื้อเครื่องปรับอากาศเบอร์ 5 หรือตู้เย็นที่มีฉลากเบอร์ 5 ใหม่ 2001 ซึ่งประหยัดพลังงานมากกว่าเบอร์ 5 เดิมร้อยละ 20 เป็นต้น 6. ใช้น้ำอย่างประหยัด น้ำประปาที่เราใช้มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติแต่ผ่านกระบวนการกรองและฆ่าเชื้อจน สะอาดและบริโภคได้ ซึ่งต้องอาศัยพลังานในกระบวนการเหล่านั้น การใช้น้ำอย่างประหยัดจึงเป็นการประหยัดพลังงานด้วย - ใช้หัวก๊อกน้ำที่มีอุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของน้ำ - ปิดก๊อกน้ำในระหว่างแปรงฟัน สระผม หรือโกนหนวด - ใช้ไม้กวาดในการกวาดพื้น แทนการใช้น้ำฉีดเพื่อทำความสะอาด - ล้างรถด้วยฟองน้ำและรองน้ำใส่ถัง แทนการใช้สายยางฉีดน้ำโดยตรง - ใช้น้ำจากการซักล้าง เช่น น้ำสุดท้ายของการซักผ้า หรือน้ำจากการถูพื้นเพื่อรดน้ำต้นไม้ แทนการใช้น้ำประปา 7. การใช้เตาก๊าซ - ควรเลือกใช้ถังก๊าซที่มีเครื่องหมายสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) - ตั้งเตาก๊าซให้ห่างจาถังก๊าซโดยใช้สายยาง หรือสายพลาสติกให้มีความยาวห่างจากถังก๊าซประมาณ 1-1.5 เมตร - เมื่อเลิกใช้ ปิดวาล์วที่ตัวถังก่อน แล้วจึงปิดปิดวาล์วที่ตัวเตา 8. การใช้เตาถ่าน ควรเลือกใช้เตาถ่านชนิดที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะมีลักษณะขอบเตาเรียบเสมอกัน เส้าของเตามีส่วนลาดมากกว่า ทำให้ใช้กับหม้อได้หลายขนด มีช่องบรรจุถ่านไม่กว้างใหญ่เกินไป มีรังผึ้งที่หนาทนทาน และรูรังผึ้งเล็กจึงช่วยรีดอากาศได้ดี - เตรียมกาหารสด เครื่องปรุง และอุปกรณ์การทำอาหารให้พร้อมก่อนติดไฟรอนานเกินไปจะสิ้นเปลืองถ่าน - เลือกขนาดของหม้อหรือกระทะให้เหมาะสมกับปริมาณและประเภทของอาหารที่จะปรุง - ควรทุบถ่านให้มีขนาดพอเหมาะ คือ ชิ้นละประมาณ 2 – 4 ซม. - ไม่ควรใส่ถ่านมากจนล้นเตา - เก็บรักษาถ่านอย่าให้เปียกชื้น เพราะถ่านจะติดไฟยากและแตกประทุทำให้สิ้นเปลือง - ขจัดขี้เถ้าในรังผึ้งและใต้รังผึ้งออกให้หมดก่อนที่จะติดเตาใหม่ทุกครั้ง จะทำให้การเผาไหม้ถ่านดีขึ้น 9. การใช้หลอดแสงสว่าง - ปิดไฟเมื่อใช้งาน - หมั่นทำความสะอาดหลอดแสงสว่างและโคมไฟ - ใช้หลอดแสงสว่างเท่าที่จำเป็น - สำหรับสถานที่ที่ต้องเปิดไฟทิ้งไว้ตลอดคืน ควรใช้หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ - บริเวณใดที่เคยใช้หลอดไส้ในการให้แสงสว่าง ควรหันมาเปลี่ยนเป็นหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ - ใช้หลอดประหยัดพลังงาน เช่น หลอดผอม ซึ่งประหยัดพลังงานมากกว่า หลอดไส้ 4 – 5 เท่า และมี อายุการใช้งานมานกว่า 8 เท่า - ใช้แสงอาทิตย์แทนการเปิดหลอดไฟ เช่น ห้องครัว ห้องเก็บของ ห้องน้ำ ทางเดิน เป็นต้น - ควรทาสีผนังห้องหรือเลือกวัสดุพื้นห้องที่เป็นสีอ่อน ๆ เพื่อช่วยสะท้อนแสงสว่างภายในห้อง 10. การใช้ตู้เย็น - เลือกใช้ตู้เย็นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ใหม่ 2001 ซึ่งประหยัดไฟกว่าเบอร์ 5 เดิม ร้อยละ 20 - เลือกใช้แบบที่มีฉนวนกันความร้อนชนิดโฟมฉีด - ตู้เย็นแบบประตูเดียว จะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าแบบ 2 ประตูในขนาดที่เท่ากัน - อย่าติดตั้งตู้เย็นใกล้แหล่งความร้อน - ควรตั้งห่างจากฝาผนังทั้งด้านหลังและด้านข้างไม่น้อยกว่า 15 ซม. เพื่อให้มีการระบายความร้อนได้ดี - ควรตั้งอุณหภูมิภายในตู้เย็น 3 – 6 องศาC และในช่องแช่แข็งระหว่าง 15-18 องศา C - อย่าเปิดตู้เย็นบ่อย หรือเปิดประตูค้างไว้นาน ๆ - อย่านำของที่มีความร้อนเข้าไปแช่ - ละลายน้ำแข็งสม่ำเสมอ 11. การใช้เครื่องปรับอากาศ เลือกขนาดที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่นห้องที่มีความสูงไม่เกิน 3 เมตร และมีพื้นที่ห้องขนาด 13 – 15 ตร.ม. ควรใช้ขนาด 7,000 – 9,000 บีทียู/ชั่วโมง ขนาดพื้นที่ 16 – 17 ตร.ม. ควรใช้ขนาด 9,000 – 11,000 บีทียู/ชั่วโมง เป็นต้น - ใช้เครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสุดซึ่งแสดงด้วยหน่วย EER(Energy Efficiency Ratio) คือ อัตราส่วนระหว่างความสามารถในการให้ความเย็นของเครื่องต่อกำลังไฟฟ้า (บีทียู/ชั่วโมง/วัตต์) ซึ่งเครื่องที่มีค่า EER สูงจะให้ความเย็นมาก และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเครื่องที่มีค่า EER ต่ำ - หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ ไม่ให้มีฝุ่นจับ เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการทำความเย็นลดลง - เลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 12. การใช้เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า - ควรเลือกชนิดที่มีที่เก็บความร้อน เพราะจะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าแบบไหลผ่านขดลวดความร้อน - เลือกขนาดของเครื่องให้เหมาะสมกับครอบครัวและความจำเป็นในการใช้ - ไม่เปิดเครื่องตลอดเวลา ในการฟอกสบู่อาบน้ำหรือขณะสระผม - ปิดวาล์วน้ำและสวิตซ์ทันทีเมื่อเลิกใช้งาน - ควรให้เฉพาะวันที่มีอากาศเย็น หรือเท่าที่จำเป็น
เครื่องยนต์ดีเซล
เครื่องยนต์ดีเซล
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
"ดีเซล" เปลี่ยนทางมาที่นี่ บทความนี้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ สำหรับความหมายอื่น ดูที่ ดีเซล (แก้ความกำกวม)
ภาพการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซล 4 จังหวะ
เครื่องยนต์ดีเซล (อังกฤษ: diesel engine) เป็นเครื่องยนต์ประเภทหนึ่ง คิดค้นโดย นายรูดอล์ฟ ดีเซล (Rudolf Diesel) วิศวกรชาวเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1897 อาศัยการทำงานของกลจักร คาร์โนต์ (Carnot's cycle) ซึ่งคิดขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสชื่อ ซาร์ดิ คาร์โน ( Sardi carnot) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1824 เครื่องยนต์ชนิดนี้ ไม่มีหัวเทียน การจุดระเบิดอาศัย หลักการอัดอากาศและเชื้อเพลิง ให้มีความดันสูงจนเชื้อเพลิงสามารถติดไฟได้
หลักการทำงานของเครื่องนต์ดีเซล คือ อากาศเมื่อถูกอัดตัวจะมีความร้อนสูงขึ้น แต่ถ้าอากาศถูกอัดตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการสูญเสียความร้อน ทั้งแรงดันและความร้อนจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อฉีดละอองน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในอากาศที่ร้อนจัดจากการอัดตัว ก็จะเกิดการเผาไหม้ขึ้นอย่างทันทีทันใด ทำให้เกิดกำลังงานขึ้น กำลังงานที่เกิดขึ้นจะนำไปใช้ประโยชน์ในรูปของแรงขับหรือแรงผลักดัน ผ่านลูกสูบและก้านสูบทำให้เพลาข้อเหวี่ยงหมุน ณ กำลังอัดเดียวกัน อากาศที่อุณหภูมิเริ่มต้นสูงกว่า เมื่อถูกอัดย่อมมีอุณหภูมิสูงกว่าหรือร้อนกว่า
เครื่องยนต์ดีเซลแบ่งออกเป็นแบบใหญ่ๆ ได้เป็น 2 แบบคือ
เครื่องยนต์ 4 จังหวะ (The 4-cycle Engine)
เครื่องยนต์ 2 จังหวะ (The 2-cycle Engine
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
"ดีเซล" เปลี่ยนทางมาที่นี่ บทความนี้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ สำหรับความหมายอื่น ดูที่ ดีเซล (แก้ความกำกวม)
ภาพการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซล 4 จังหวะ
เครื่องยนต์ดีเซล (อังกฤษ: diesel engine) เป็นเครื่องยนต์ประเภทหนึ่ง คิดค้นโดย นายรูดอล์ฟ ดีเซล (Rudolf Diesel) วิศวกรชาวเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1897 อาศัยการทำงานของกลจักร คาร์โนต์ (Carnot's cycle) ซึ่งคิดขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสชื่อ ซาร์ดิ คาร์โน ( Sardi carnot) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1824 เครื่องยนต์ชนิดนี้ ไม่มีหัวเทียน การจุดระเบิดอาศัย หลักการอัดอากาศและเชื้อเพลิง ให้มีความดันสูงจนเชื้อเพลิงสามารถติดไฟได้
หลักการทำงานของเครื่องนต์ดีเซล คือ อากาศเมื่อถูกอัดตัวจะมีความร้อนสูงขึ้น แต่ถ้าอากาศถูกอัดตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการสูญเสียความร้อน ทั้งแรงดันและความร้อนจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อฉีดละอองน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในอากาศที่ร้อนจัดจากการอัดตัว ก็จะเกิดการเผาไหม้ขึ้นอย่างทันทีทันใด ทำให้เกิดกำลังงานขึ้น กำลังงานที่เกิดขึ้นจะนำไปใช้ประโยชน์ในรูปของแรงขับหรือแรงผลักดัน ผ่านลูกสูบและก้านสูบทำให้เพลาข้อเหวี่ยงหมุน ณ กำลังอัดเดียวกัน อากาศที่อุณหภูมิเริ่มต้นสูงกว่า เมื่อถูกอัดย่อมมีอุณหภูมิสูงกว่าหรือร้อนกว่า
เครื่องยนต์ดีเซลแบ่งออกเป็นแบบใหญ่ๆ ได้เป็น 2 แบบคือ
เครื่องยนต์ 4 จังหวะ (The 4-cycle Engine)
เครื่องยนต์ 2 จังหวะ (The 2-cycle Engine
วิธีบัดกรี
วิธีบัดกรี
พอได้ทุกอย่างมาครบแล้ว ก็ถึงตอนลงมือล่ะ ก่อนอื่นก็ต้องเตรียมผิวขอบชิ้นงานที่จะบัดกรีเสียก่อน ให้มีความสะอาดสดใส โดยการใช้คัตเตอร์ หรือกระดาษทรายขูดหรือถูที่จุดบัดกรีให้สะอาด แต่อย่าขูดหรือถูแรงนักเพราะขาของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ บอบบาง ขัดถูแรงๆ ระวังขาหักพอทำความสะอาดจุดบัดกรีแล้วก็เอาหัวแร้งมาเสียบปลั๊ก รอไปจนกว่าหัวแร้งจะร้อน พอที่จะทำให้ตะกั่วละลายได้ ซึ่งอยู่ในช่วง 15 วินาที ถึง 1 นาที แล้วแต่ยี่ห้อ และขนาดความร้อนของหัวแร้งตัวนั้นๆ ทดสอบได้โดยเอาตะกั่วลองมาแตะๆ ดูที่ปลายหัวแร้ง ถ้าละลายแปล ว่าใช้ได้แล้ว
รูปที่ 5 พยายามให้ตะกั่วไล้ถูกปลายหัวแร้งขณะที่เริ่มร้อนพอดี
เมื่อหัวแร้งร้อนได้ที่แล้ว ก็เอาปลายหัวแร้งไปจ่อไว้กับจุดที่บัดกรี แล้วเอาตะกั่วจิ้มลงไปตรงระหว่างหัวแร้งกับจะบัดกรี ถ้าหัวแร้ง ขนาด 30 วัตต์ ก็สามารถยกหัวแร้งออกจากจุดบัดกรี ได้ทันทีที่ตะกั่วละลายหุ้มจุดบัดกรีได้ทั่วแล้ว แต่ถ้าใช้หัวแร้งความร้อนต่ำกว่านี้ ก็ให้แช่หัวแร้งไว้ที่จุดบัดกรีอีกสักพัก (2-3 วินาที) แล้วจึงแยกออกหลังจากเอาหัวแร้งออกจากจุดบัดกรีแล้ว ให้เป่าด้วยปากให้ตะกั่วแข็งตัวเร็วขึ้น แต่ถ้าเป็นจุดบัดกรีเล็กๆ ก็ไม่ต้องเป่าก็ได้เพราะ ตะกั่วจะแข็งตัวเกือบทันทีที่ยกหัวแร้งออกจากจุดบัดกรี
รูปที่ 6 แสดงตำแหน่งการวางปลายหัวแร้งกับชิ้นงานและตะกั่วเพื่อบัดกรี
พอได้ทุกอย่างมาครบแล้ว ก็ถึงตอนลงมือล่ะ ก่อนอื่นก็ต้องเตรียมผิวขอบชิ้นงานที่จะบัดกรีเสียก่อน ให้มีความสะอาดสดใส โดยการใช้คัตเตอร์ หรือกระดาษทรายขูดหรือถูที่จุดบัดกรีให้สะอาด แต่อย่าขูดหรือถูแรงนักเพราะขาของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ บอบบาง ขัดถูแรงๆ ระวังขาหักพอทำความสะอาดจุดบัดกรีแล้วก็เอาหัวแร้งมาเสียบปลั๊ก รอไปจนกว่าหัวแร้งจะร้อน พอที่จะทำให้ตะกั่วละลายได้ ซึ่งอยู่ในช่วง 15 วินาที ถึง 1 นาที แล้วแต่ยี่ห้อ และขนาดความร้อนของหัวแร้งตัวนั้นๆ ทดสอบได้โดยเอาตะกั่วลองมาแตะๆ ดูที่ปลายหัวแร้ง ถ้าละลายแปล ว่าใช้ได้แล้ว
รูปที่ 5 พยายามให้ตะกั่วไล้ถูกปลายหัวแร้งขณะที่เริ่มร้อนพอดี
เมื่อหัวแร้งร้อนได้ที่แล้ว ก็เอาปลายหัวแร้งไปจ่อไว้กับจุดที่บัดกรี แล้วเอาตะกั่วจิ้มลงไปตรงระหว่างหัวแร้งกับจะบัดกรี ถ้าหัวแร้ง ขนาด 30 วัตต์ ก็สามารถยกหัวแร้งออกจากจุดบัดกรี ได้ทันทีที่ตะกั่วละลายหุ้มจุดบัดกรีได้ทั่วแล้ว แต่ถ้าใช้หัวแร้งความร้อนต่ำกว่านี้ ก็ให้แช่หัวแร้งไว้ที่จุดบัดกรีอีกสักพัก (2-3 วินาที) แล้วจึงแยกออกหลังจากเอาหัวแร้งออกจากจุดบัดกรีแล้ว ให้เป่าด้วยปากให้ตะกั่วแข็งตัวเร็วขึ้น แต่ถ้าเป็นจุดบัดกรีเล็กๆ ก็ไม่ต้องเป่าก็ได้เพราะ ตะกั่วจะแข็งตัวเกือบทันทีที่ยกหัวแร้งออกจากจุดบัดกรี
รูปที่ 6 แสดงตำแหน่งการวางปลายหัวแร้งกับชิ้นงานและตะกั่วเพื่อบัดกรี
การเชื่อมโลหะ
การเชื่อมโลหะ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
บทความนี้ต้องการแหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม เพื่อให้บทความน่าเชื่อถือและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นคุณสามารถช่วยพัฒนาวิกิพีเดีย โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงที่เหมาะสม - การอ้างอิงแหล่งที่มา วิธีการเขียน บทความคัดสรร และ นโยบายวิกิพีเดีย
บทความนี้ต้องการเก็บกวาด โดยการตรวจสอบหรือปรับปรุงความถูกต้อง แก้ไขรูปแบบหรือภาษาที่ใช้ตลอดจนแก้ไขหรือเพิ่มเติมเนื้อหา หมวดหมู่ ลิงก์ภายใน หรือแหล่งอ้างอิง ในบางส่วนหรือหลายส่วน
ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานวิกิพีเดียไทย และคุณสามารถช่วยแก้ไขปรับปรุงบทความนี้ได้กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไขเมื่อบทความนี้ได้รับการแก้ไขตามนโยบายแล้ว ให้นำป้ายนี้ออก ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ วิธีแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือการเขียน และ นโยบายวิกิพีเดีย
ขณะเชื่อมโลหะ
การเชื่อม เป็นขบวนการที่ใช้สำหรับต่อวัสดุ ส่วนใหญ่เป็นโลหะและพลาสติก โดยให้รวมตัวเข้าด้วยกัน ปกติใช้วิธีทำให้ชิ้นงานหลอมละลายและการเพิ่มเนื้อโลหะเติมลงในแอ่งหลอมละลายของวัสดุที่หลอมเหลว เมื่อเย็นตัวรอยต่อจะมีความแข็งแรง บางครั้งใช้แรงดันร่วมกับความร้อน หรืออย่างเดียว เพื่อให้เกิดรอยเชื่อม ซึ่งตรงข้ามกับการบัดกรีอ่อนและการบัดกรีแข็งซึ่งไม่มีการหลอมละลายของชิ้นงานชิ้นงาน มีแหล่งพลังงานหลายอย่างสำหรับนำมาใช้ในการเชื่อม เช่น การใช้ความร้อนจากเปลวแก๊ส, การอาร์คโดยใช้กระแสไฟฟ้า, ลำแสงเลเซอร์, การใช้อิเล็คตอรอนบีม, การเสียดสี, การใช้คลื่นเสียง เป็นต้น ในอุตสาหกรรมมีการนำมาใช้ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เช่นการเชื่อมในพื้นที่โล่ง, พื้นที่อับอากาศ, การเชื่อมใต้น้ำ การเชื่อมมีอันตรายเกิดขึ้นได้ง่าย จึงควรมีความระมัดระวังเพื่อป้องกันอันตราย เช่น ที่เกิดจาก กระแสไฟฟ้า, ความร้อน, สะเก็ดไป, ควันเชื่อม, แก๊สพิษ, รังสีอาร์ค, ชิ้นงานร้อน, ฝุ่นละออง ในยุคเริ่มแรกจนถึงศตวรรษที่ 19 มีการใช้งานเฉพาะการเชื่อมทุบ (forge welding) เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อโลหะ เช่นการทำดาบในสมัยโบราณ วิธีนี้รอยเชื่อมที่ได้มีความแข็งแรงสูงและโครงสร้างของเนื้อรอยเชื่อมมีคุณภาพอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่มีความล่าช้าในการนำมาใช้งานในเชิงอุตสาหกรรม หลังจากนั้นได้มีการพัฒนามาสู่การเชื่อมอาร์คและการเชื่อมโดยใช้เปลวแก๊สออกซิเจนและหลังจากนั้นมีการ เชื่อมแบบความต้านทานตามมา เทคโนโลยีการเชื่อม ได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 20 ซึ่งอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เทคโนโลยีการเชื่อมแบบใหม่ๆได้มีการเร่งพัฒนาเพื่อรองรับต่อการสู้รบในช่วงเวลานั้น เพื่อทดแทนการต่อโลหะแบบเดิม เช่นการใช้หมุดย้ำซึ่งมีความล่าช้าอย่างมาก ขบวนการเชื่อมด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์ (SMAW) เป็นขบวนการหนึ่งที่พัฒนาขึ้นมาในช่วงนั้นและกระทั่งปัจจุบัน ยังคงเป็นกรรมวธีที่ใช้งานกันมากที่สุดในประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย
เนื้อหา[ซ่อน]
1 การเชื่อมโดยใช้ลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์
2 ความเค้นตกค้างหรือความเค้นที่เหลืออยู่ (Residual stress)
3 การเคาะเพื่อคลายตัว (Peening)
4 เหล็กกล้า (Steel)
//
[แก้] การเชื่อมโดยใช้ลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์
การเชื่อมโดยใช้ลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์ (SMAW) หรือที่เรามักเรียกกันว่า กันเชื่อมธูป บางตำรามักเรียกกันว่า manual metal arc (MMA) หรือ stick welding การเชื่อมแบบนี้ลวดเชื่อมจะมีฟลั๊กซ์หุ้มภายนอกแกนลวด และกระแสไฟฟ้าจะถูกส่งผ่านแกนลวดเชื่อมไปยังส่วนปลาย กระแสไฟฟ้าที่มีทั้งชนิดกระแสตรง (DC) และชนิดกระแสสลับ (AC) การเลือกใช้งานควรเป็นไปตามคำแนะนำของผู้ผลิตลวดเชื่อม โดยปกติจะมีพิมพ์ไว้ข้างกล่องลวด โดยจะมีการชี้บ่ง เช่น ยี่ห้อ, เกรดของลวดเชื่อม, ขนาด x ความยาวลวด, ชนิดกระแสไฟที่แนะนำให้ใช้งานในแต่ละท่าเชื่อม, ชนิดฟลั๊กซ์หุ้ม เป็นต้น กระแสไฟจะถูกส่งผ่านแหล่งจ่าย โดยทั่วไปจะเป็นเครื่องเชื่อม การเริ่มต้นเชื่อมสำหรับลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์ทำได้ 2 วิธี คือการเขี่ยอาร์คและการแตะปลายลวดกับผิวชิ้นงานแล้วยกขึ้นในระยะที่เหมาะสมเพื่อคงการอาร์คไว้ ขณะอาร์คจะมีความต้านทานระหว่างปลายลวดกับผิวชิ้นงานเกิดเป็นความร้อนที่สูง ซึ่งสูงพอที่จะหลอมละลายได้ทั้งผิวชิ้นงานและปลายลวดเชื่อมให้เกิดการหลอมรวมตัวกันเป็นเนื้อโลหะรอยเชื่อม
[แก้] ความเค้นตกค้างหรือความเค้นที่เหลืออยู่ (Residual stress)
ความเค้นตกค้าง คือ สิ่งที่ตกค้างอยู่ เป็นสาเหตุเริ่มต้นของการเกิดความเค้นทั้งหมด (จากแรงภายนอก, จากการไม่สมดุลของความร้อน) ซึ่งต้องกำจัดออก เป็นความเค้นที่เหลืออยู่ระหว่างพื้นที่หน้าตัดชิ้นงาน แม้ว่าไม่มีความเค้นภายนอกมากระทำ ความเค้นคงเหลือเกิดขึ้นจากหลายเหตุผล รวมทั้งการไม่ยืดหยุ่นให้ชิ้นงานเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง และผลจากการปรับปรุงด้วยความร้อน ความร้อนจากการเชื่อมเป็นสาเหตุให้ชิ้นงานขยายตัวในวงจำกัด เช่นการเชื่อมแบบหลอมละลาย หรือการจับยึดชิ้นงานระหว่างการเชื่อม เมื่อเนื้อรอยเชื่อมเกิดเย็นตัว บางพื้นที่เย็นก่อนและเกิดการหดตัวก่อนส่วนอื่น ความเค้นตกค้างที่เหลืออยู่ คือสิ่งที่ได้จากการหลอม รวมทั้งการเย็นตัวของชิ้นงานที่ไม่สมดุลกัน ขณะที่ไม่สมารถควบคุมความเค้นตกค้างได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการ การออกแบบจำนวนมากขึ้นกับมัน ตัวอย่างเช่น ความแข็งแรงของกระจก และการเผื่อความเค้นล่วงหน้าของคอนกรีต ความเค้นในคอนกรีต ขึ้นกับการป้องกันความเปราะ เสียหาย ใทำนองเดียวกัน ความโน้มเอียงสู่การเกิดโครงสร้างที่แข็งเปราะ (marensite) การก่อรูปแบบของความเค้นในมีดดาบโดยเจาะจงให้คมมีความแข็ง สามารถป้องกันการแตกที่คมดาบ บางอย่างเช่น ลำกล้องปืน ทำด้วยท่อสองท่อให้ยึดติดกัน ท่อด้านในถูกบีบอัดขณะภายนอกทำให้ขยายออกได้ เพื่อป้องกันการแตกจากร่องที่เป็นเกลียวของลำกล้องแน เมื่อกระสุนพุ่งออกไป ปกติชิ้นส่วนทำให้ร้อนหรือจุ่มในของเหลวไฮโดรเจนเหลว (liquid nitrogen) เพื่อช่วยส่วนประกอบ การบีบอัดที่เหมาะสมโดยทั่วไปจะทำอย่างรอบคอบของการใช้ความเค้นตกค้าง สลักเกลียวพวงมาลัยของยานยนต์ ตัวอย่างเช่น การกดรูของดุมล้อ รูมีขนาดเล็กกว่าสลัก เพื่อต้องการอัดแรงผ่านสลักให้เกิดความเค้นตกค้าง ความเค้นตกค้างจะผูกติดเข้าด้วยกันกับชิ้นส่วน ต้วอย่างอื่นๆเช่นตะปู เป็นต้น
[แก้] การเคาะเพื่อคลายตัว (Peening)
เป็นการปฏิบัติงานทางกลของโลหะ โดยหมายถึงการตีด้วยหัวค้อนหรือการยิงในระยะสั้น (short peening) การเคาะเพื่อคลายตัวเป็นขบวนการทำงานเย็น มันโน้มน้าวให้ให้เกิดการขยายของผิวโลหะงานที่เย็น เนื่องด้วยเหตุนั้น การผ่อนคลายความเค้นแรงดึง และ/หรือความเค้นอัดภายใน การเคาะเพื่อคลายตัวยังกระตุ้นให้เกิดการแข็งตัวคงเหลือ (stain hardening) ของผิวโละหะ
การเคาะคลายด้วยมือ (hand peening) กระทำหลังการเชื่อมเพื่อคลายความเค้นแรงดึงซึ่งเกิดขึ้นในเนื้อรอยเชื่อมและรอบๆโลหะงานจากการเย็นตัว ระดับการลดลงของความเค้นเรงดึงอย่างน้อยที่สุดคือบริเวณที่เกิดขึ้นใกล้ผิวรอยเชื่อมเท่านั้น การเคาะคลายตัวมีแนวโน้มให้ความแข็งสูงขึ้นในเนื้อเชื่อมและงานบางอย่างควรหลีกเลี่ยง ด้วยเหตุผลนี้การเคาะคลายตัวโดยทั่วไปไม่ถูกยอมรับจากโค้ดส่วนใหญ, มาตรฐานหรือข้อกำหนด (เช่น ASME B31.3 หมวด 328.51 (d) ทุกๆรูปแบบของการเคาะคลายตัวถูกก่อนการนำมาใช้งานบนเนื้อเชื่อมต้องแนินการตามข้อกำหนดของการทดสอบชิ้นงาน
ชิ้นงานที่ดำเนินการทดสอบกระบวนการทำงานเชื่อมนั้น ตัวแปรที่จำเป็นทั้งหมดนั้นจะถูกใช้เพื่อการผลิตงานเชื่อม ถ้าหากเนื้อเชื่อมถูกเคาะคลายตัวระหว่างการทดสอบกระบวนการของขั้นตอนการเชื่อม การทดสอบทางกลซึ่งตามมาของขั้นตอนจะแสดงให้เห็นคุณสมบัติทางกลของเนื้อเชื่อม คุณสมบัติทางกลเหล่านี้ ต้องเข้ากันได้กับคุณสมบัติทางกลของวัสดุซึ่งจะเชื่อมเข้าด้วยกัน ถ้ามันไม่ได้ดำเนินการมีการสอบตกและขั้นตอนการเชื่อมนั้นไม่ถูกยอมรับที่จะใช้ในการเชื่อม การเคาะคลายตัวถูกนำมาใช้ในการการผลิตงานเชื่อมที่ถูกกำหนดให้กระทำเท่านั้น
[แก้] เหล็กกล้า (Steel)
เหล็กกล้าเป็นโลหะผสมประกอบด้วยธาตุเหล็ก (iron) , คาร์บอน 0.2-1.7 หรือ 2.0% ไม่เกินกว่านี้โดยน้ำหนัก (C:1000-10,8.67Fe) ขึ้นกับเกรดที่ใช้งาน คาร์บอนเป็นธาตุที่มีผลอย่างมากต่อโลหะผสม แต่ธาตุอื่นๆที่นำมาใช้เช่น แมงกานีส, ทังสะเตน, คาร์บอนและธาตุอื่นๆทำหน้าที่ให้เกิดปฏิกิริยาการชุบแข็งในผลึกอะตอมของเหล็ก จากการเลื่อนไหลของโครงสร้างอื่นๆภายในเนื้อเหล็กกล้า จำนวนของธาตที่ผสมและรูปแบบของมันเป็นตัวควบคุมบทบาทในเหล็กกล้า (ธาตุตัวถูกละลาย ขั้นตอนการตกตะกอน) เช่น ความแข็ง ความเหนียว ความทนต่อแรงดึงของการมีผลต่อเหล็กกล้า เหล็กกล้าที่มีการเพิ่มคาร์บอนสามารถให้ความแข็งที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเหล็กแต่ให้ความเปราะมากขึ้นด้วย การถูกละลายได้ของคาร์บอนในเหล็ก (iron) ในรูปแบบออสเตนไนต์ คือ 2.14% โดยน้ำหนัก การเกิดขึ้นที่ 1149 C คาร์บอนที่เข้มข้นมากกว่านี้หรืออุณหภูมิต่กว่านี้จะสร้างโครงสร้างเซีเมนไต์ (โครงสร้างเปราะ) โลหะผสมที่มีคาร์บอนมากกว่านี้ คือเหล็กหล่อที่ได้มาจากการหลอม (Cast iron) เพราะมันมีจุดหลอมต่ำ เหล็กกล้ามีความโดดเด่นจากเหล็กเหนียว (wrought iron) ซึ่งมีธาตุอื่นผสมเพียงเล็กน้อย 1-3% ของน้ำหนักโดยสแลก (slag) ในรูปแบบของอนุภาคขนาดเล็กในทุกทิศทาง การให้เกรนที่มีลักษณะโครงสร้างเหล็ก มันมีความต้านทานต่อสนิมมากกว่าเหล็กกล้าและเชื่อมได้ง่าย ในทุกวันนี้เราพูดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า เหมือนกับว่าเจาะจงเพียงเป็นอย่างเดียวกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาตร์ พวกมันได้เคยถูกแบ่งไว้เป็น 2 แบบ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
บทความนี้ต้องการแหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม เพื่อให้บทความน่าเชื่อถือและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นคุณสามารถช่วยพัฒนาวิกิพีเดีย โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงที่เหมาะสม - การอ้างอิงแหล่งที่มา วิธีการเขียน บทความคัดสรร และ นโยบายวิกิพีเดีย
บทความนี้ต้องการเก็บกวาด โดยการตรวจสอบหรือปรับปรุงความถูกต้อง แก้ไขรูปแบบหรือภาษาที่ใช้ตลอดจนแก้ไขหรือเพิ่มเติมเนื้อหา หมวดหมู่ ลิงก์ภายใน หรือแหล่งอ้างอิง ในบางส่วนหรือหลายส่วน
ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานวิกิพีเดียไทย และคุณสามารถช่วยแก้ไขปรับปรุงบทความนี้ได้กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไขเมื่อบทความนี้ได้รับการแก้ไขตามนโยบายแล้ว ให้นำป้ายนี้ออก ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ วิธีแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือการเขียน และ นโยบายวิกิพีเดีย
ขณะเชื่อมโลหะ
การเชื่อม เป็นขบวนการที่ใช้สำหรับต่อวัสดุ ส่วนใหญ่เป็นโลหะและพลาสติก โดยให้รวมตัวเข้าด้วยกัน ปกติใช้วิธีทำให้ชิ้นงานหลอมละลายและการเพิ่มเนื้อโลหะเติมลงในแอ่งหลอมละลายของวัสดุที่หลอมเหลว เมื่อเย็นตัวรอยต่อจะมีความแข็งแรง บางครั้งใช้แรงดันร่วมกับความร้อน หรืออย่างเดียว เพื่อให้เกิดรอยเชื่อม ซึ่งตรงข้ามกับการบัดกรีอ่อนและการบัดกรีแข็งซึ่งไม่มีการหลอมละลายของชิ้นงานชิ้นงาน มีแหล่งพลังงานหลายอย่างสำหรับนำมาใช้ในการเชื่อม เช่น การใช้ความร้อนจากเปลวแก๊ส, การอาร์คโดยใช้กระแสไฟฟ้า, ลำแสงเลเซอร์, การใช้อิเล็คตอรอนบีม, การเสียดสี, การใช้คลื่นเสียง เป็นต้น ในอุตสาหกรรมมีการนำมาใช้ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เช่นการเชื่อมในพื้นที่โล่ง, พื้นที่อับอากาศ, การเชื่อมใต้น้ำ การเชื่อมมีอันตรายเกิดขึ้นได้ง่าย จึงควรมีความระมัดระวังเพื่อป้องกันอันตราย เช่น ที่เกิดจาก กระแสไฟฟ้า, ความร้อน, สะเก็ดไป, ควันเชื่อม, แก๊สพิษ, รังสีอาร์ค, ชิ้นงานร้อน, ฝุ่นละออง ในยุคเริ่มแรกจนถึงศตวรรษที่ 19 มีการใช้งานเฉพาะการเชื่อมทุบ (forge welding) เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อโลหะ เช่นการทำดาบในสมัยโบราณ วิธีนี้รอยเชื่อมที่ได้มีความแข็งแรงสูงและโครงสร้างของเนื้อรอยเชื่อมมีคุณภาพอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่มีความล่าช้าในการนำมาใช้งานในเชิงอุตสาหกรรม หลังจากนั้นได้มีการพัฒนามาสู่การเชื่อมอาร์คและการเชื่อมโดยใช้เปลวแก๊สออกซิเจนและหลังจากนั้นมีการ เชื่อมแบบความต้านทานตามมา เทคโนโลยีการเชื่อม ได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 20 ซึ่งอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เทคโนโลยีการเชื่อมแบบใหม่ๆได้มีการเร่งพัฒนาเพื่อรองรับต่อการสู้รบในช่วงเวลานั้น เพื่อทดแทนการต่อโลหะแบบเดิม เช่นการใช้หมุดย้ำซึ่งมีความล่าช้าอย่างมาก ขบวนการเชื่อมด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์ (SMAW) เป็นขบวนการหนึ่งที่พัฒนาขึ้นมาในช่วงนั้นและกระทั่งปัจจุบัน ยังคงเป็นกรรมวธีที่ใช้งานกันมากที่สุดในประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย
เนื้อหา[ซ่อน]
1 การเชื่อมโดยใช้ลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์
2 ความเค้นตกค้างหรือความเค้นที่เหลืออยู่ (Residual stress)
3 การเคาะเพื่อคลายตัว (Peening)
4 เหล็กกล้า (Steel)
//
[แก้] การเชื่อมโดยใช้ลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์
การเชื่อมโดยใช้ลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์ (SMAW) หรือที่เรามักเรียกกันว่า กันเชื่อมธูป บางตำรามักเรียกกันว่า manual metal arc (MMA) หรือ stick welding การเชื่อมแบบนี้ลวดเชื่อมจะมีฟลั๊กซ์หุ้มภายนอกแกนลวด และกระแสไฟฟ้าจะถูกส่งผ่านแกนลวดเชื่อมไปยังส่วนปลาย กระแสไฟฟ้าที่มีทั้งชนิดกระแสตรง (DC) และชนิดกระแสสลับ (AC) การเลือกใช้งานควรเป็นไปตามคำแนะนำของผู้ผลิตลวดเชื่อม โดยปกติจะมีพิมพ์ไว้ข้างกล่องลวด โดยจะมีการชี้บ่ง เช่น ยี่ห้อ, เกรดของลวดเชื่อม, ขนาด x ความยาวลวด, ชนิดกระแสไฟที่แนะนำให้ใช้งานในแต่ละท่าเชื่อม, ชนิดฟลั๊กซ์หุ้ม เป็นต้น กระแสไฟจะถูกส่งผ่านแหล่งจ่าย โดยทั่วไปจะเป็นเครื่องเชื่อม การเริ่มต้นเชื่อมสำหรับลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์ทำได้ 2 วิธี คือการเขี่ยอาร์คและการแตะปลายลวดกับผิวชิ้นงานแล้วยกขึ้นในระยะที่เหมาะสมเพื่อคงการอาร์คไว้ ขณะอาร์คจะมีความต้านทานระหว่างปลายลวดกับผิวชิ้นงานเกิดเป็นความร้อนที่สูง ซึ่งสูงพอที่จะหลอมละลายได้ทั้งผิวชิ้นงานและปลายลวดเชื่อมให้เกิดการหลอมรวมตัวกันเป็นเนื้อโลหะรอยเชื่อม
[แก้] ความเค้นตกค้างหรือความเค้นที่เหลืออยู่ (Residual stress)
ความเค้นตกค้าง คือ สิ่งที่ตกค้างอยู่ เป็นสาเหตุเริ่มต้นของการเกิดความเค้นทั้งหมด (จากแรงภายนอก, จากการไม่สมดุลของความร้อน) ซึ่งต้องกำจัดออก เป็นความเค้นที่เหลืออยู่ระหว่างพื้นที่หน้าตัดชิ้นงาน แม้ว่าไม่มีความเค้นภายนอกมากระทำ ความเค้นคงเหลือเกิดขึ้นจากหลายเหตุผล รวมทั้งการไม่ยืดหยุ่นให้ชิ้นงานเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง และผลจากการปรับปรุงด้วยความร้อน ความร้อนจากการเชื่อมเป็นสาเหตุให้ชิ้นงานขยายตัวในวงจำกัด เช่นการเชื่อมแบบหลอมละลาย หรือการจับยึดชิ้นงานระหว่างการเชื่อม เมื่อเนื้อรอยเชื่อมเกิดเย็นตัว บางพื้นที่เย็นก่อนและเกิดการหดตัวก่อนส่วนอื่น ความเค้นตกค้างที่เหลืออยู่ คือสิ่งที่ได้จากการหลอม รวมทั้งการเย็นตัวของชิ้นงานที่ไม่สมดุลกัน ขณะที่ไม่สมารถควบคุมความเค้นตกค้างได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการ การออกแบบจำนวนมากขึ้นกับมัน ตัวอย่างเช่น ความแข็งแรงของกระจก และการเผื่อความเค้นล่วงหน้าของคอนกรีต ความเค้นในคอนกรีต ขึ้นกับการป้องกันความเปราะ เสียหาย ใทำนองเดียวกัน ความโน้มเอียงสู่การเกิดโครงสร้างที่แข็งเปราะ (marensite) การก่อรูปแบบของความเค้นในมีดดาบโดยเจาะจงให้คมมีความแข็ง สามารถป้องกันการแตกที่คมดาบ บางอย่างเช่น ลำกล้องปืน ทำด้วยท่อสองท่อให้ยึดติดกัน ท่อด้านในถูกบีบอัดขณะภายนอกทำให้ขยายออกได้ เพื่อป้องกันการแตกจากร่องที่เป็นเกลียวของลำกล้องแน เมื่อกระสุนพุ่งออกไป ปกติชิ้นส่วนทำให้ร้อนหรือจุ่มในของเหลวไฮโดรเจนเหลว (liquid nitrogen) เพื่อช่วยส่วนประกอบ การบีบอัดที่เหมาะสมโดยทั่วไปจะทำอย่างรอบคอบของการใช้ความเค้นตกค้าง สลักเกลียวพวงมาลัยของยานยนต์ ตัวอย่างเช่น การกดรูของดุมล้อ รูมีขนาดเล็กกว่าสลัก เพื่อต้องการอัดแรงผ่านสลักให้เกิดความเค้นตกค้าง ความเค้นตกค้างจะผูกติดเข้าด้วยกันกับชิ้นส่วน ต้วอย่างอื่นๆเช่นตะปู เป็นต้น
[แก้] การเคาะเพื่อคลายตัว (Peening)
เป็นการปฏิบัติงานทางกลของโลหะ โดยหมายถึงการตีด้วยหัวค้อนหรือการยิงในระยะสั้น (short peening) การเคาะเพื่อคลายตัวเป็นขบวนการทำงานเย็น มันโน้มน้าวให้ให้เกิดการขยายของผิวโลหะงานที่เย็น เนื่องด้วยเหตุนั้น การผ่อนคลายความเค้นแรงดึง และ/หรือความเค้นอัดภายใน การเคาะเพื่อคลายตัวยังกระตุ้นให้เกิดการแข็งตัวคงเหลือ (stain hardening) ของผิวโละหะ
การเคาะคลายด้วยมือ (hand peening) กระทำหลังการเชื่อมเพื่อคลายความเค้นแรงดึงซึ่งเกิดขึ้นในเนื้อรอยเชื่อมและรอบๆโลหะงานจากการเย็นตัว ระดับการลดลงของความเค้นเรงดึงอย่างน้อยที่สุดคือบริเวณที่เกิดขึ้นใกล้ผิวรอยเชื่อมเท่านั้น การเคาะคลายตัวมีแนวโน้มให้ความแข็งสูงขึ้นในเนื้อเชื่อมและงานบางอย่างควรหลีกเลี่ยง ด้วยเหตุผลนี้การเคาะคลายตัวโดยทั่วไปไม่ถูกยอมรับจากโค้ดส่วนใหญ, มาตรฐานหรือข้อกำหนด (เช่น ASME B31.3 หมวด 328.51 (d) ทุกๆรูปแบบของการเคาะคลายตัวถูกก่อนการนำมาใช้งานบนเนื้อเชื่อมต้องแนินการตามข้อกำหนดของการทดสอบชิ้นงาน
ชิ้นงานที่ดำเนินการทดสอบกระบวนการทำงานเชื่อมนั้น ตัวแปรที่จำเป็นทั้งหมดนั้นจะถูกใช้เพื่อการผลิตงานเชื่อม ถ้าหากเนื้อเชื่อมถูกเคาะคลายตัวระหว่างการทดสอบกระบวนการของขั้นตอนการเชื่อม การทดสอบทางกลซึ่งตามมาของขั้นตอนจะแสดงให้เห็นคุณสมบัติทางกลของเนื้อเชื่อม คุณสมบัติทางกลเหล่านี้ ต้องเข้ากันได้กับคุณสมบัติทางกลของวัสดุซึ่งจะเชื่อมเข้าด้วยกัน ถ้ามันไม่ได้ดำเนินการมีการสอบตกและขั้นตอนการเชื่อมนั้นไม่ถูกยอมรับที่จะใช้ในการเชื่อม การเคาะคลายตัวถูกนำมาใช้ในการการผลิตงานเชื่อมที่ถูกกำหนดให้กระทำเท่านั้น
[แก้] เหล็กกล้า (Steel)
เหล็กกล้าเป็นโลหะผสมประกอบด้วยธาตุเหล็ก (iron) , คาร์บอน 0.2-1.7 หรือ 2.0% ไม่เกินกว่านี้โดยน้ำหนัก (C:1000-10,8.67Fe) ขึ้นกับเกรดที่ใช้งาน คาร์บอนเป็นธาตุที่มีผลอย่างมากต่อโลหะผสม แต่ธาตุอื่นๆที่นำมาใช้เช่น แมงกานีส, ทังสะเตน, คาร์บอนและธาตุอื่นๆทำหน้าที่ให้เกิดปฏิกิริยาการชุบแข็งในผลึกอะตอมของเหล็ก จากการเลื่อนไหลของโครงสร้างอื่นๆภายในเนื้อเหล็กกล้า จำนวนของธาตที่ผสมและรูปแบบของมันเป็นตัวควบคุมบทบาทในเหล็กกล้า (ธาตุตัวถูกละลาย ขั้นตอนการตกตะกอน) เช่น ความแข็ง ความเหนียว ความทนต่อแรงดึงของการมีผลต่อเหล็กกล้า เหล็กกล้าที่มีการเพิ่มคาร์บอนสามารถให้ความแข็งที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเหล็กแต่ให้ความเปราะมากขึ้นด้วย การถูกละลายได้ของคาร์บอนในเหล็ก (iron) ในรูปแบบออสเตนไนต์ คือ 2.14% โดยน้ำหนัก การเกิดขึ้นที่ 1149 C คาร์บอนที่เข้มข้นมากกว่านี้หรืออุณหภูมิต่กว่านี้จะสร้างโครงสร้างเซีเมนไต์ (โครงสร้างเปราะ) โลหะผสมที่มีคาร์บอนมากกว่านี้ คือเหล็กหล่อที่ได้มาจากการหลอม (Cast iron) เพราะมันมีจุดหลอมต่ำ เหล็กกล้ามีความโดดเด่นจากเหล็กเหนียว (wrought iron) ซึ่งมีธาตุอื่นผสมเพียงเล็กน้อย 1-3% ของน้ำหนักโดยสแลก (slag) ในรูปแบบของอนุภาคขนาดเล็กในทุกทิศทาง การให้เกรนที่มีลักษณะโครงสร้างเหล็ก มันมีความต้านทานต่อสนิมมากกว่าเหล็กกล้าและเชื่อมได้ง่าย ในทุกวันนี้เราพูดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า เหมือนกับว่าเจาะจงเพียงเป็นอย่างเดียวกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาตร์ พวกมันได้เคยถูกแบ่งไว้เป็น 2 แบบ
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
คอมพิวเตอร์เพื่องานอาชีพ
รู้จักส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
เคส & พาวเวอร์ซัพพลาย (CASE & POWER SUPPLY)
เป็นกล่องสี่เหลี่ยมใช้สำหรับบรรจุเมนบอร์ด ซีพียู แรมฮาร์ดดิสก์ และสิ่งอื่น ๆ อยู่รวมกันภายในเคส เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ เมื่อมองจากรูปร่างแล้ว เคสจะมีอยู่ 2 แบบคือ แบบเดสก์ท็อป เรียกได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ แบบตั้งโต๊ะ เป็นแบบที่วางราบกับพื้นตามแนวนอน ส่วนแบบที่ 2 คือ แบบทาวเวอร์ ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ชนิด ตามความสูงของตัวเคส คือ มินิทาวเวอร์, มีเดียทาวเวอร์ และ ทาวเวอร์
เคส (Case) คือ โครงหรือกล่องสำหรับประกอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ไว้ภายใน การเรียกชื่อและขนาดของเคสจะต่างกันออกไปคือ เคสแบบวางนอนเรียกว่า แบบ Desktop แบบวางตั้งโต๊ะขนาดเล็กเรียกว่าแบบ Mini Tower แบบวางตั้งขนาดกลางเรียกว่าแบบ Medium Tower แบบวางตั้งขนาดใหญ่เรียกว่า Full Tower นอกจากนี้ยังแบ่งออกเป็นเคสในแบบ AT และ ATX ตามชนิดของเมนบอร์ดที่จะนำมาประกอบด้วย
พาวเวอร์ซัพพลาย (Power Supply) โดยปกติเคสที่จำหน่ายกันในท้องตลาดจะมีพาวเวอร์ซัพพลายติดมาด้วยพาวเวอร์ซัพพลายแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบ AT และแบบ ATX จะสังเกตจากสายที่จ่ายไฟให้กับเมนบอร์ด กล่าวคือ สายของพาวเวอร์ซัพพลายแบบ AT จะแยกออกเป็น 2 ชุดๆ ละ 6 เส้น การต่อใช้งานให้สีดำชนกันอยู่ตรงกลางส่วน พาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX จะมีสายไฟเป็นชุดเดียวกันจำนวน 20 เส้นแบ่งออกเป็น 2 แถว ๆ ละ 10 เส้น ส่วนสายไฟที่พาวเวอร์ซัพพลายจ่ายให้กับอุปกรณ์อื่นทั้งแบบ AT และ ATX จะเหมือนกันคือเป็นสายไฟ 4 เส้นต่อกับจุดต่อ สายไฟสีเหลืองจะเป็นไฟ +12 v. สายไฟสีแดงจะเป็นไฟ +5 v. และสายไฟสีดำ 2 เส้นตรงกลางจะเป็นสายดิน ส่วนความสามารถในการจ่ายไผของพาวเวอร์ซัพพลายแต่ละตัวนั้นจะขึ้นอยู่กับผู้ผลิตว่าจะใส่พาวเวอร์ซัพพลายขนาดใดติดมากับเคส การเลือกซื้อเคสควรเลือกที่มีพาวเวอร์ซัพพลายที่มีความสามารถในการจ่ายไฟให้เพียงพอหรือสูงกว่าความต้องการของอุปกรณ์ที่นำมาประกอบ ในท้องตลาดจะมีพาวเวอร์ซัพพลายขนาด 150-300 WATTS
ฟล็อปปี้ดิสก์ไดร์ฟ (FLOPPY DISK DRIVE)
ฟล็อปปี้ดิสก์ไดร์ฟ (Floppy Disk Drive) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ดิสก์ไดร์ฟ เป็นอุปกรณ์สำหรับอ่านข้อมูลจากแผ่นดิสเกตต์ และเขียนข้อมูลลงบนแผ่นดิสเกตต์ โดยเริ่มผลิตจากขนาด 5.25 นิ้ว ความจุ 360 KB แล้วเพิ่มความจุขึ้นเป็น 1.2 MB และขนาด 3.5นิ้ว ความจุ 720 KB แล้วเพิ่มความจุเป็น 1.44 และ 2.88 MB ตามลำดับ ดิสก์ไดร์ฟทั้งสองขนาดจะสามารถอ่านและเขียนแผ่นดิสเกตต์ที่มี ความจุต่ำกว่าได้ แต่ในปัจจุบันจะใช้เพียงดิสก์ไดร์ฟขนาด 2.5 นิ้ว ความจุ 1.44 MB เท่านั้น
จอมอนิเตอร์ (MONITOR)
เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงผลการทำงานของคอมพิวเตอร์ จอภาพที่ดีควรแสดงผลได้ละเอียดที่ 800 x 600 จุดขึ้นไป และมีอัตรรีเฟรซ เรท สูงพอที่ไม่ทำให้ภาพเกิดการกระพริบ เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดตา ในระหว่างการทำงาน จอภาพทั่วไปมี 2 แบบ คือ CRT เป็นจอภาพที่ใช้กันส่วนใหญ่ ภาพเกิดจากการยิงของลำแสงอิเลคตรอนไปกระทบกับสารเรืองแสงบนหน้าจอ จอชนิดนี้จะมีขนานใหญ่และหนาส่วน จอภาพอีกชนิดหนึ่งคือ LCD เป็นจอลักษณะ บางแบน มีน้ำหนักเบา ส่วนใหญ่ใช้กับเครื่องโน๊ตบุ๊ก
มอนิเตอร์ (Monitor) หรือจอภาพ เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นมากอีกอย่างหนึ่ง เป็นอุปกรณ์ที่แสดงให้เห็นการทำงานของเครื่องและ โปรแกรมต่าง ๆ การจัดรูปแบบของข้อความ และข้อมูล
ซีพียู
มีหน้าที่ประมวลผลคำสั่งต่าง ๆ ที่รับมาจากอุปกรณ์เช่น เมาส์และคีย์บอร์ด เมื่อประมวลผลแล้ว จะส่งผลไปให้กับอุปกรณ์ Output เช่นจอภาพ ผ่านทางการ์ดแสดงผล เสียงผ่านการ์ดเสียงพิมพ์งานด้วยเครื่องพิมพ์ ผ่านพอร์ต Parallal ซีพียูที่นิยมใช้กันในปัจจุบันเป็นของ 2 คู่แข่งแห่งค่าย Intel คือ Celeron, Pentium III และ Pentium 4 ส่วนค่าย AMD มีซีพียูที่มาแรงคือ Duron และ Thunderbird
ซีพียู CPU คือ อุปกรณ์ตัวหนึ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นในการทำงานของคอมพิวเตอร์ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นหัวใจของคอมพิวเตอร์เลยก็ได้ซีพียูเป็นตัวควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ใจคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่ต่อร่วมกับคอมพิวเตอร์โดยจะเป็นตัวกำหนดความสำคัญของอุปกรณ์ว่าตัวใดมีความสำคัญมากกว่าซึ่งหากติดตั้งอุปกรณ์ 2 ตัวที่อินเทอรัพ, การแจ้งกับซีพียูว่าจะขอเฉพาะอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมากกว่าเท่านั้น ส่วนตัวที่สำคัญน้อยกว่าจะไม่สามารถใช้งานได้ เช่น ถ้าเราต่อการ์ดจอภาพกับการ์ดเสียงที่อินเทอรัพเดียวกัน ซีพียูจะเลือกให้ใช้ได้เฉพาะการ์ดจอภาพเท่านั้น
ตระกูลของซีพียู
ซีพียูที่มีจำหน่ายในท้องตลาดอย่างแพร่หลายมีอยู่ 3 ตระกูล คือ
๑. Intel
2. AMD
๒. Cyrix
องค์ประกอบของซีพียู
ลักษณะของตัวซีพียู จะหมายถึง รูปร่างหรือแบบของซีพียูที่ถูกผลิตออกมา ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ
1. แบบการ์ดหรือตลับ
มีลักษณะเป็นแผงหรือตลับสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านล่างมีหน้าสัมผัสสำหรับเสียบลงบนช่องต่อบนเมนบอร์ด ซึ่งเรียกว่า สล็อต (Slot)
2. แบบชิป PGA
มีลักษณะเป็นแผ่นชิปบาง ๆ มักเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้านหลังจะมีขาเสียบ โดยรอบสำหรับเสียบลงช่องต่อบนเมนบอร์ด ซึ่งเรียกว่า ซ็อกเก็ต (Socket)
ลักษณะการเชื่อมต่อของซีพียูกับเมนบอร์ด
ลักษณะของซีพียูนี้จะมีผลโดยตรงกับการเลือกเมนบอร์ด โดยทั้งซีพียูและเมนบอร์ดจะต้องมีลักษณะการต่อเชื่อม ที่เหมือนกัน ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 ลักษณะดังกล่าวมาแล้ว คือ
1. แบบสล็อต (Slot)
สำหรับเสียบซีพียูแบบการ์ดหรือตลับ ซึ่งปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ Slot 1 ที่ใช้กับซีพียูของค่ายอินเทล และ Slot A ที่ใช้กับซีพียูของค่ายเอเอ็มดี
ใช้กับ Pentium II, III, และ Celeron ของอินเทล
ใช้กับ Athlon ของเอเอ็มดี
2. แบบซ็อกเก็ต (Socket)
สำหรับเสียบซีพียูแบบชิป PGA ซึ่งปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ เช่น Socket 7, Socket 370 สำหรับซีพียูของค่ายอินเทลและ Socket A สำหรับซีพียูของค่าย AMD
ฮาร์ดดิสก์ (HARDDISK DRIVE)
เป็นอุปกรณ์หลักสำหรับเก็บข้อมูลโปรแกรมระบบปฏิบัติการและโปรแกรมใช้งานต่างๆ ความเร็วของฮาร์ดดิสก์ มีผลต่อความเร็วรวมของเครื่องเช่นกันซึ่งความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์มาจากส่วนประกอบ 2 ส่วนคือ
· ความเร็วรอบมีหน่วยเป็น rpm โดยในปัจจุบันนี้ฮาร์ดดิสก์ส่วนใหญ่จะมีความเร็วรอบตั้งแต่ 5,400 รอบต่อนาที ถึง 15,000 รอบต่อนาที ถ้าความเร็วรอบสูงขึ้น ข้อมูลจะผ่านหัวอ่านเขียนได้เร็วขึ้นความเร็วโดยรวมจะดีขึ้น แต่จะมีราคาสูงด้วยเช่นกัน
· อัตราการส่งผ่านข้อมูล หมายถึงปริมาณข้อมูล ที่ถูกส่งผ่านภายในเวลา 1 วินาที ซึ่งบ่งบอกได้ด้วยมาตรฐาน เช่น ATA-33, ATA-66 และ ATA-100
ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (Hard Disk Drive) หรือชุดจานแม่เหล็กชนิดแข็ง เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญและจำเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ต้องมีใจเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในปัจจุบัน เนื่องจากโปรแกรมส่วนใหญ่จะมีความจุมาก และความเร็วในการอ่าน และเขียนข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ จะสูงกว่าการอ่านและเขียนบนแผ่นดิสก์มาก
ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้กันในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ แบบไอดีอี (IDE) และแบบ สกัสซี่ (SCSI) IDE เป็นฮาร์ดดิสก์ที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ จะใช้ฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุสูงสุดเพียง 528 MB และต่อฮาร์ดดิสก์ก็ได้เพียง 2 ตัวเท่านั้น ต่อมามีการพัฒนาให้ใช้ได้ สูงกว่านั้น เรียกว่า เอนฮานซ์ไอดีอี สามารถต่อฮาร์ดดิสก์ได้ 4 ตัว ในเครื่องเดียว มีความเร็วในการค้นหา และอ่านข้อมูลเพิ่มขึ้น ในปัจจุบันในการใช้ฮาร์ดดิสก์ให้มีความเร็วได้เต็มที่นั้นเมนบอร์ดจะต้องรับการทำงานของฮาร์ดดิสก์นั้นด้วย
สกัสซี่ เป็นฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วสูง ทนทาน และราคาแพงเหมาะสำหรับใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานหนัก เช่น FileServer ที่เปิดใช้งานตลอดเวลา สามารถเชื่อมต่อกันได้ถึง 7 ตัวในเครื่องเดียวกัน โดยปกติเมนบอร์ดจะไม่มี I/O ที่สามารถต่อกับฮาร์ดดิสก์แบบ SCSI ได้โดยตรง ต้องใช้ Interface Card หรือ SCSI Controller Card ต่อเชื่อมระหว่างเมนบอร์ดกับฮาร์ดดิสก์แบบ SCSI
2
1
รายละเอียดบนตัวฮาร์ดดิสก์
๑. รุ่นของฮาร์ดดิสก์ จำนวน CYLINDER, HEAD และ SECTOR SIZE ของฮาร์ดดิสก์
๒. จัมเปอร์ สำหรับตั้งค่าการใช้งาน
แรม (RAM)
ย่อมาจาก Ramdom Access Memory เป็นหน่วยความจำหลักของเครื่องมีความเร็วในการทำงานสูงแต่มีข้อเสียคือ สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้ขณะที่เปิดเครื่องอยู่เท่านั้น ถ้าปิดเครื่องข้อมูลก็จะหายไป แรมแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
· SRAM ทำจากทรานซิสเตอร์ กินไฟมากมีความเร็วสูง แต่เนื่องจากมีราคาแพงมาก จึงมักใช้ทำเป็นหน่วยความจำแคชสำหรับเมนบอร์ด และซีพียู
· DRAM เป็นหน่วยความจำที่สร้างขึ้นโดยใช้สถานะ “มีประจุ” และ“ไม่มีประจุ” เป็นหลักในการเก็บข้อมูลซึ่งกินไปน้อยและราคาถูกกว่า SRAM จึงนิยมนำมาใช้ทำเป็นหน่วยความจำ หลักในเครื่องคอมพิวเตอร์ การทำงานของDRAM จะต้องทาการเติมประจุตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อไม่ให้ข้อมูลสูญหายไปเรียกว่าการ “Refresh”
แรมที่ใช้เป็นหน่วยความจำหลักในคอมพิวเตอร์คือ DRAM ซึ่งมีหลายแบบ แต่ที่นิยมใช้กัน
มี 2 แบบคือ EDO DRAM และ SDRAM
· EDO DRAM เป็น DRAM ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความเร็วสูงขึ้นนิยมใช้ในเครื่องรุ่น 486, Pentium
· SDRAM เนื่องจากEDO RAM ไม่สามารถทำงานได้ที่ความถี่เกินกว่า 66 MHz ดังนั้นในเครื่องที่ใช้ซีพียูรุ่นใหม่ที่ใช้ความถี่บัสเป็น 100 – 133 MHz จึงหันมาใช้ SDRAM แทน เพราะสามารถทำงานร่วมกับซีพียูได้เร็วกว่าทำให้ซีพียูไม่ต้องรอคอยการทำงานของแรมอีกต่อไปเรียกว่าภาวะ “Wait State”
ในปัจจุบันแทนที่จะบอกความเร็วของ SDRAM หรือที่เรียกกันว่า access time ว่าเป็นกี่ ns
( 1 ns = 1 / 1,000 วินาที ) กลับแสดงออกมาเป็นความเร็วของระบบบัสแทนเช่น PC – 66, PC – 100, PC – 133 หมายถึงมีความเร็วเท่ากับระบบบัส 66 , 100 และ 133 MHz ตามลำดับ
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำชั่วคราว โดยจะเป็นที่พักข้อมูลในการทำงานแต่ละขั้นตอน เช่น การอ่านข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ไปพักไว้ที่แรมก่อนที่จะแสดงผลออกทางจอภาพ หรือพักข้อมูลไว้ในการสั่งพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ หรืออาจจะใช้งานหลายโปรแกรมในเวลาเดียวกัน
ชนิดของแรม
แรมมีความจุเป็นไบท์ และมีหลายประเภทมีการพัฒนาทั้งทางด้านความเร็วหลายประเภทมีการพัฒนาทั้งทางด้านความเร็ว และความจุดังนี้
๑. DRAM เป็นแรมที่มีความเร็ว และความจุน้อยที่สุด
๒. EDO RAM พัฒนาขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการแสดงผลทางด้านกราฟฟิค และถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับเครื่องระดับ Penrium ใช้กับเมนบอร์ดซ็อกเก็ต 7 โดยใช้กับช่องเสียบในแบบ SIMM ที่มีหน้าที่สัมผัสด้านเดียว จึงต้องใส่เป็นคู่
๓. SDRAM เป็นหน่วยความจำที่ทำงานเร็วกว่าและมีช่องสัญญาณ มากกว่า DRAM และ EDO RAM ออกแบบมาให้ใช้กับเมนบอร์ดที่เป็นสล็อต 1 และซ็อกเก็ต 7 บางรุ่นโดยใช้กับช่องเสียบในแบบ DIMM ที่มีหน้าสัมผัส 2 หน้า จึงใส่ที่ละแผงได้
๔. DDR SDRAM เป็นแรมที่พัฒนามาจาก SDRAM เพื่อให้มีความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
๕. RDRAM เป็นแรมแบบใหม่ที่มีความเร็วสูง ที่คาดว่าจะเข้ามาแทนที่ SDRAM แต่จะต้องใช้กับช่องเสียบในแบบ RIMM ด้วย
จำนวนจุดต่อของแรม ซึ่งในการผลิตครั้งแรก ๆ จะมีลักษณะเป็นขาเสียบ ต่อมาได้ยกเลิก
แล้วใช้เป็นแบบหน้าสัมผัส แต่ก็ยังเรียกเหมือนกัน
SIMM RAM จะมีจุดต่อ 30 และ 72 PIN
EDO RAM จะมีจุดต่อ 72 PIN
SDRAM จะมีจุดต่อ 168 PIN
ในปัจจุบันเมนบอร์ดจะถูกออกแบบมาให้ใช้กับ SDRAM เพียงอย่างเดียว แต่ SDRAM แต่ละรุ่นจะมีความสามารถในการทำงานไม่เท่ากัน คือ
PC66 คือ SDRAM ที่สามารถทำงานได้ถึงความเร็วสูงสุด 66 MHz.
PC100 คือ SDRAM ที่สามารถทำงานได้ถึงความเร็วสูงสุด 100 MHz.
PC133 คือ SDRAM ที่สามารถทำงานได้ถึงความเร็วสูงสุด 133 MHz.
ส่วนประกอบบนตัวแรม
2
3
1
รูปรายละเอียดบนแรม
1. SD32 MB. = SDRAM ความจุ 32 MB.
2. PC100 = BUS ของ RAM
3. –7, -10 = ความเร็วของ RAM หน่วยเป็น nsec
คีย์บอร์ด (KEYBOARD)
คีย์บอร์ด (Keyboard) หรือ แป้นพิมพ์ เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นมากในการพิมพ์คำสั่งต่าง ๆ เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน และยังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับป้อนข้อมูลในการใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ รวมทั้งมีการพัฒนาให้มีการเปิดปิดเครื่องผ่านทางแป้นพิมพ์ และนำอุปกรณ์อื่น ๆ มาติดตั้งเพิ่มขึ้น เช่น เมาส์ (Mouse) ชนิดที่เรียกว่า Trackball ไว้บนแป้นพิมพ์ด้วย
Serial Keyboard
PS/2 Keyboard
แป้นพิมพ์ จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ตามประเภทของหัวเสียบ ได้แก่ Serial Keyboard เป็นแป้นพิมพ์ที่มีหัวเสียบขนาดใหญ่ ใช้มาตั้งแต่สมัยเริ่มแรกถึงปัจจุบัน และแบบ PS/2 Keyvoard เป็นแป้นพิมพ์ที่มีหัวเสียบขนาดเล็ก ส่วนใหญ่จะใช้กับเมนบอร์ดแบบ ATX เพื่อประหยัดพื้นที่ในการใช้งาน แต่การทำงานของแป้นพิมพ์ทั้ง 2 แบบจะเหมือนกันทุกอย่าง
การ์ดแสดงผล (DISPLAY CARD)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ สำหรับแปลงสัญญาณภาพแบบดิจิตอล ไปเป็นสัญญาณแบบอะนาล็อค เพื่อแสดงผลบนหน้าจอมอนิเตอร์ การ์ดแสดงผลที่ดี จะช่วยให้เครื่องสามารถแสดงผลภาพเคลื่อนไหว และภาพ 3 มิติ เช่น เกม ต่าง ๆ ได้ราบรื่นไม่เกิดการกระตุกของภาพ และแสดงผลราคาถูก
ในปัจจุบันนิยมใช้การ์ดแสดงผลแบบ AGP ซึ่งเสียบกับสล็อตแบบ AGP บนเมนบอร์ดเนื่องจากบัสแบบ AGP มีความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลสูงกว่าบัสแบบ PCI ประกอบกับมีหน่วยความจำจำนวนมากอยู่บนตัวการ์ด และทำงานโดยประสานกับซีพียู โดยตรงจึงทำให้สามารถแสดงผลได้อย่างรวดเร็ว
ดิสเพลย์การ์ด (Display Card) หรือ วีจีเอการ์ด (VGA Card) เป็นการ์ดที่มีไว้สำหรับต่อเข้ากับจอภาพ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวส่งสัญญาณให้ไปปรากฎที่จอภาพเพื่อให้ผู้ใช้งานทราบถึงการทำงานของเครื่อง ดิสเพลย์การ์ดรุ่นแรกนั้นเรียกว่า โมโนโครมการ์ด จะแสดงผลได้เพียงสีเดียว มีบัสเป็นแบบ XT ต่อมาเพิ่มการแสดงผลให้เป็นสีขึ้นมา แต่จำนวนและความละเอียดของสีจะไม่มากนักเรียกการ์ดนี้ว่า ซีจีเอการ์ด (CGA Card) แสดงผลที่มีจำนวนและความละเอียดของสีมากขึ้น เรียกว่า วีจีเอการ์ด (VGA Card) การแสดงผลของวีจีเอการ์ดนี้จะขึ้นอยู่กับวีดีโอแรม และไดรเวอร์ ของการ์ดนั้นด้วย ปัจจุบันมีการแสดงผลแบบ 3 มิติ และต่อสัญญาณไปเข้ากับโทรศัพท์ด้วย จึงมีการสร้างบัสที่สามารถแสดงผลได้เร็วและคมชัดเรียกว่า เอจีพีบัส (AGP Bus) ส่วนวีจีเอการ์ดที่ติดตั้งมาบนเมนบอร์ดนั้นจะเป็นบัสแบบใดขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิต และในเมนบอร์ดบางรุ่นจะใช้แรมของระบบไปใช้เป็นวีดีโอแรมด้วยหากใช้เมนบอร์ดแบบนี้ควรเพิ่มแรมสำหรับใช้เป็นวีดีโอแรมด้วย
การ์ดเสียง (SOUND CARD)
เนื่องจากคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันสามารถแสดงผลได้ทั้งภาพและเสียงเรียกว่า มีมัลติมีเดีย ดังนั้นการ์ดเสียงจึงเป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน การ์ดเสียงมีหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิตอล ทีประมวลผลจากซีพียู ให้เป็นสัญญาณเสียง และสามารุรับฟังได้ผ่านทางลำโพง
การ์ดเสียงที่ดี จะมีการสร้างเสียงสังเคราะห์ เลียนเสียงธรรมชาติ หรือเสียงเครื่องดนตรีต่าง ๆ ทำให้สามารถเล่นเพลงให้เสียงสมจริง และควรสนับสนุนช่องเสียงหลายช่อง ซึ่งในปัจจุบันมักมีถึง 4 แซนแนล
ซาวน์การ์ด (Sound card) หรือการ์ดเสียง เป็นการ์ดที่สร้างขึ้นมาโดยนำอุปกรณ์ทางด้านอิเล็คทรอนิคส์มาประกอบเพื่อสร้างเสียงต่าง ๆ ขึ้นมาให้เหมาะสมร่วมกับการแสดงผลโดยซาวน์การ์ดรุ่นแรก ๆ จะเป็นแบบ FM คือ สามารถใช้งานกับเสียงประเภท .WAV, .VOC ได้ดี และต่อมาได้มีการพัฒนาให้ใช้กับไฟล์ แบบมีดีกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยการสร้างเวฟเทเบิ้ลมาติดตั้งเพิ่มบนซาวน์การ์ดเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้ และในซาวน์การ์ดบางรุ่นจะเพิ่มระบบ 3 มิติ เข้าไปด้วย โดยทั่งไปซาวน์การ์ดจะมีช่องสำหรับเสียบอุปกรณ์ต่าง ๆ คือ Line Out เป็นจุดที่ใช้สำหรือต่อสัญญาณไปเข้าเครื่องขยายเสียง Speaker Out เป็นช่องสำหรับต่อเสียงไปเข้าลำโพง MIC In เป็นช่องสำหรือต่อไมโครโฟน Line In เป็นช่องสำหรับต่อสัญญาณเสียงจากภายนอกเพื่อให้ซาวน์การ์ดเป็นตัวขยายเสียง และ Game Port สำหรับต่อจอยสติกสำหรับเล่นเกมส์ ซาวน์การ์ดโดยทั่วไปจะมีบัสเป็นแบบ ISA Bus และ PCI Bus เท่านั้นในเมนบอร์ดบางรุ่นจะนำซาวน์การ์ดนี้ไปติดตั้งไว้บนเมนบอร์ด และจะเป็นซาวน์การ์ดแบบไม่มีเวฟ-เทเบิ้ล และข้อเสียของซาวน์การ์ดแบบออนบอร์ดก็คือ สัญญาณเสียงจะเบาไม่สามารถต่อเข้ากับลำโพงที่ไม่มีการขยายเสียงได้
พรินเตอร์ (PRINTER )
พรินเตอร์ (Printer) หรือ เครื่องพิมพ์ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแสดงผลออกมาทาง
หน้ากระดาษ
ชนิดของเครื่องพิมพ์
เครื่องพิมพ์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
๑. เครื่องพิมพ์แบบเข็มกระแทกผ้าหมึก
มีหลักการทำงานคล้ายกับเครื่องพิมพ์ดีด แต่จะไม่พิมพ์ทีละตัว แต่จะพิมพ์เป็นจุดมา
ประกอบเป็นตัวอักษรเครื่องพิมพ์ชนิดนี้มีเสียงดัง ราคาค่อนข้างแพง แต่ราคาผ้าหมึกจะถูก มีข้อดีคือสามารถพิมพ์กระดาษที่มีสำเนาหลาย ๆ ชั้นได้ ส่วนมากจะพิมพ์ได้แต่สีดำอย่างเดียว และบางรุ่นสามารถพิมพ์กระดาษที่มีสำเนาหลาย ๆ ชั้นได้ ส่วนมากจะพิมพ์ได้แต่สีดำอย่างเดียว และบางรุ่นสามารถพิมพ์กระดาษที่มีความกว้างได้
๒. เครื่องพิมพ์แบบ INK JET
อาจมีชื่อเรียกหลายอย่างแล้วแต่ผู้ผลิต จะตั้งขึ้นมาเช่น DESK JET , BUBBLE JET เป็นเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก โดยจะพ่นเป็นจุดเล็ก ๆ ประกอบเป็นตัวอักษร พิมพ์ได้ทั้งสีและดำ เสียงค่อนข้างเบา ราคาค่อนข้างถูก แต่หมึกค่อนข้างแพง ส่วนมากจะพิมพ์ได้เฉพาะกระดาษขนาด A4 เท่านั้น
๓. เครื่องพิมพ์แบบ LASER
มีหลักการทำงานเหมือนกับเครื่องถ่ายเอกสาร โดยใช้แสงเลเซอร์ยิงไปที่กระดาษให้เกิดความร้อนแล้วปล่อยผงหมึกไปติดกับกระดาษที่ยังร้อน ทำให้หมึกติดกระดาษ เครื่องพิมพ์ชนิดนี้จะมีเสียงเบามาก ความคมชัดสูง ความเร็วค่อนข้างสูง ตัวเครื่องและหมึกมีราคาแพงส่วนมากจะพิมพ์ได้เฉพาะกระดาษ A4 และพิมพ์สีดำส่วนเครื่องที่พิมพ์เป็นสีได้จะมีราคาแพงมาก
สแกนเนอร์ (SCANNER)
สแกนเนอร์ (Scanner) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดภาพจากแผ่นกระดาษ หรือวัสดุอื่นนำมาจัดเก็บเป็นแฟ้มข้อมูล เพื่อที่การพิมพ์ออกทางหน้ากระดาษ หรือเก็บไว้เพื่อประโยชน์อื่น โดยจะถ่ายทอดออกมาได้ทั้งภาพและข้อความ
ชนิดของสแกนเนอร์
สแกนเนอร์จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
สแกนเนอร์มือถือ
เป็นสแกนเนอร์ขนาดเล็กให้รายละเอียดในการถ่ายทอดภาพได้ไม่ดีนักเนื่องจากต้องใช้มือเลื่อนขณะทำการสแกน
สแกนเนอร์แบบตั้งโต๊ะ
สามารถถ่ายทอดภาพให้ออกมามีรายละเอียดสูง และได้ขนาดใหญ่กว่าแบบมือถือ
เมนบอร์ด (MAINBOARD)
เมนบอร์ดเป็นแผ่นวงจร PCB มีอุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์ต่าง ๆ ทำงานอยู่ร่วมกัน รวมทั้งมี
สล็อดและซ็อคเก็ตสำหรับเสียบใส่อุปกรณ์ได้แก่ ซีพียู ฮาร์ดดิก์ แรม และการ์ดเสียบเพิ่มอยู่ด้วยกันเพื่อประสานการทำงานระหว่างกัน โดยมีบัส ซึ่งเป็นเสมือนถนนทางด่วนข้อมูลเป็นตัวเชื่อมต่อ
เมนบอร์ด (Mainboard) หรือ มาเธอร์บอร์ด (MotherBoard) เป็นแผงวงจรหลักที่มีอุปกรณ์ต่าง ๆ ติดตั้งอยู่ เช่น ช่องสำหรับเสียบแผงวงจรต่อออกภายนอก สำหรับควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ , สล็อต หรือ ซ็อกเก็ต สำหรับติดตั้งหน่วยความจำ , ซ็อกเก็ต หรือ สล็อต สำหรับติตตั้งซีพียูโดยจะมีซีพียูที่นำมาติดตั้งเป็นตัวควบคุมการทำงานของอุปกรณ์แต่ละชนิด แมนบอร์ดรุ่นแรก ๆ จะมีเพียงซีพียู , แรม , ช่องต่อขยาย , จุดต่อ สำหรับต่อแป้นพิมพ์เท่านั้น ต่อมามีกาพัฒนานำอุปกรณ์ต่าง ๆ มาติดตั้งเพิ่มไว้บนเมนบอร์ด เรียกว่า อุปกรณ์แบบออนบอร์ด โดยเริ่มจาก I/O (Input/Output) ซึ่งได้แก่อุปกรณ์ที่ทำการติดต่อกับดิสก์ไดร์ฟ, ฮาร์ดดิสก์, พอร์ตสื่อสาร แล้วเพิ่มการ์ดแสดงผลทางจอภาพ โดยจะมีทั้งที่ติดตั้งหน่วยความจำที่ใช้เป็น Video RAM ไว้บนเมนบอร์ด และใช้หน่วยความจำหลักไปเป็น Video RAM การใช้งานทางด้านเสียง การับส่งข้อมูล
ทางอนาลอก เช่น FAX/MODEM รวมไปถึงการต่อระบบเครือข่าย
ชนิดของเมนบอร์ด
เมนบอร์ดที่มีจำหน่ายในท้องตลาดในปัจจบันมีมากมายหลายรุ่นหลายยี่ห้อ ในการแยกประเภทหรือชนิดของเมนบอร์ดนั้นคงต้องใช้ต้องใช้หลักการเชื่อมต่อของซีพียูเข้ากับเมนบอร์ดเป็นตัวกำหนด ซึ่งจะแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือแบบสล็อตกับแบบซ็อกเก็ต
เมนบอร์ดที่ใช้การเชื่อต่อแบบสล็อตในปัจจุบันหาซื้อได้ยากแล้ว เนื่องจากซีพียูแบบตลับที่ใช้เสียบกับสล็อตเลิกผลิตแล้ว คงมีเพียงที่ผลิตออกมารองรับซีพียูเดิม เมนบอร์ดที่ใช้การต่อเชื่อมแบบซ็อกเก็ตในปัจจุบันมีออกมาแข่งขันกันจำนวนมากมีตั้งแต่ซ็อกเก็ต 7 ที่ใช้กับซีพียูเอเอ็มดี K6-2 และK6-3 ซ็อกเก็ต 370 ที่ใช้กับอินเทล Celeron และ Pentium III และซ็อกเก็ต A สำหรับซีพียู Duron และ Thunderbird
เมาส์ (MOUSE)
เมาส์ (Mouse) เป็นอุปกรณ์สำหรับเลือกและป้อนคำสั่ง ปกติจะมี 2 ปุ่ม และ 3 ปุ่ม แต่ส่วนมากจะใช้เพียง 2 ปุ่ม ปุ่มขวาใช้สำหรับเรียกคำสั่งลัด หรือคำสั่งเกี่ยวกับการทำงานตรงส่วนนั้น ๆ ปุ่มซ้ายใช้สำหรับเลือกและใช้คำสั่งเมาส์ได้ถูกพัฒนาให้มีตัวเลื่อนอยู่ตรงกลางระหว่างปุ่มหรือด้านข้างของตัวเมาส์ใช้สำหรับเลื่อนดูข้อมูลบนหน้าจอขึ้นลงเมื่ออยู่ในอินเตอร์เน็ต ด้านล่างของเมาส์ จะมีลูกกลิ้งยางเป็นตัวบังคับอุปกรณ์ภายในให้เคลื่อนที่เกิดการเปลี่ยนแปลตำแหน่งที่ชี้ เมื่อใช้งานนาน ๆ อุปกรณ์ที่สัมผัสกับลูกกลิ้งยางจะสกปรกเนื่องจากมีฝุ่นเกาะ ทำให้เลื่อนไม่สะดวก ต้องทำความสะอาดด้วย การเช็ดสิ่งสกปรกออก
Serial Mouse
PS/2 Mouse
เมาส์แบ่งออกเป็นหลายแบบ Serial Mouse เป็นเมาส์ที่ต่อกับพอร์ต COM 1 หรือ COM 2 PS/2 Mouse เป็นเมาส์ที่ทำงานเหมือนกับ Serial Mouse แต่มีการเปลี่ยนหัวเสียบมาเป็นแบบ PS/2 Track ball จะเหมือนกับเมาส์ทุกอย่างแต่จะหงายลูกกลิ้งยางขึ้นเพื่อให้ใช้นิ้วหมุนลูกกลิ้งยาง และมีปุ่มสำหรับเลือกคำสั่งอยู่ข้าง ๆ Infrared Mouse เป็นเมาส์ไร้สายส่งสัญญาณผ่านแสงอินฟาเรด ส่วนมากจะใช้กับการนำเสนอข้อมูลการเรียนการสอนที่ผู้ใช้เมาส์ไม่จำเป็นต้องอยู่หน้าเครื่องตลอดเวลา
ซีดีรอมไดร์ฟ (CD-ROM DRIVE)
ซีดีรอมไดร์ฟ (CD-ROM Drive) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดี มีความจำเป็นต้องใช้มากสำหรับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน เนื่องจากข้อมูล หรือโปรแกรมส่วนมากจะมีขนาดใหญ่ จะต้องบันทึกไว้ในแผ่นซีดี ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลจะแตกต่างกันออกไปตามความเร็วของซีดีรอมไดร์ฟแต่ละตัว ซีดีรอมไดร์ฟจะมีทั้งแบบติดตั้งภายในที่ติดตั้งถาวรไว้กับตัวเครื่อง ไม่เหมาะสำหรับการเคลื่อนย้ายบ่อย ๆ และแบบติดตั้งภายนอก จะต่อกับตัวเครื่องโดยใช้สายสัญญาณเป็นตัวต่อเชื่อมเหมาะสำหรับการเคลื่อนย้ายบ่อย ๆ ทั้งสองแบบยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ IDE และ SCSI ส่วนใหญ่ IDE จะใช้สำหรับติดตั้งภายนอก และมักจะเป็นแบบอ่านและบันทึก
geovisit();
เคส & พาวเวอร์ซัพพลาย (CASE & POWER SUPPLY)
เป็นกล่องสี่เหลี่ยมใช้สำหรับบรรจุเมนบอร์ด ซีพียู แรมฮาร์ดดิสก์ และสิ่งอื่น ๆ อยู่รวมกันภายในเคส เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ เมื่อมองจากรูปร่างแล้ว เคสจะมีอยู่ 2 แบบคือ แบบเดสก์ท็อป เรียกได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ แบบตั้งโต๊ะ เป็นแบบที่วางราบกับพื้นตามแนวนอน ส่วนแบบที่ 2 คือ แบบทาวเวอร์ ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ชนิด ตามความสูงของตัวเคส คือ มินิทาวเวอร์, มีเดียทาวเวอร์ และ ทาวเวอร์
เคส (Case) คือ โครงหรือกล่องสำหรับประกอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ไว้ภายใน การเรียกชื่อและขนาดของเคสจะต่างกันออกไปคือ เคสแบบวางนอนเรียกว่า แบบ Desktop แบบวางตั้งโต๊ะขนาดเล็กเรียกว่าแบบ Mini Tower แบบวางตั้งขนาดกลางเรียกว่าแบบ Medium Tower แบบวางตั้งขนาดใหญ่เรียกว่า Full Tower นอกจากนี้ยังแบ่งออกเป็นเคสในแบบ AT และ ATX ตามชนิดของเมนบอร์ดที่จะนำมาประกอบด้วย
พาวเวอร์ซัพพลาย (Power Supply) โดยปกติเคสที่จำหน่ายกันในท้องตลาดจะมีพาวเวอร์ซัพพลายติดมาด้วยพาวเวอร์ซัพพลายแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบ AT และแบบ ATX จะสังเกตจากสายที่จ่ายไฟให้กับเมนบอร์ด กล่าวคือ สายของพาวเวอร์ซัพพลายแบบ AT จะแยกออกเป็น 2 ชุดๆ ละ 6 เส้น การต่อใช้งานให้สีดำชนกันอยู่ตรงกลางส่วน พาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX จะมีสายไฟเป็นชุดเดียวกันจำนวน 20 เส้นแบ่งออกเป็น 2 แถว ๆ ละ 10 เส้น ส่วนสายไฟที่พาวเวอร์ซัพพลายจ่ายให้กับอุปกรณ์อื่นทั้งแบบ AT และ ATX จะเหมือนกันคือเป็นสายไฟ 4 เส้นต่อกับจุดต่อ สายไฟสีเหลืองจะเป็นไฟ +12 v. สายไฟสีแดงจะเป็นไฟ +5 v. และสายไฟสีดำ 2 เส้นตรงกลางจะเป็นสายดิน ส่วนความสามารถในการจ่ายไผของพาวเวอร์ซัพพลายแต่ละตัวนั้นจะขึ้นอยู่กับผู้ผลิตว่าจะใส่พาวเวอร์ซัพพลายขนาดใดติดมากับเคส การเลือกซื้อเคสควรเลือกที่มีพาวเวอร์ซัพพลายที่มีความสามารถในการจ่ายไฟให้เพียงพอหรือสูงกว่าความต้องการของอุปกรณ์ที่นำมาประกอบ ในท้องตลาดจะมีพาวเวอร์ซัพพลายขนาด 150-300 WATTS
ฟล็อปปี้ดิสก์ไดร์ฟ (FLOPPY DISK DRIVE)
ฟล็อปปี้ดิสก์ไดร์ฟ (Floppy Disk Drive) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ดิสก์ไดร์ฟ เป็นอุปกรณ์สำหรับอ่านข้อมูลจากแผ่นดิสเกตต์ และเขียนข้อมูลลงบนแผ่นดิสเกตต์ โดยเริ่มผลิตจากขนาด 5.25 นิ้ว ความจุ 360 KB แล้วเพิ่มความจุขึ้นเป็น 1.2 MB และขนาด 3.5นิ้ว ความจุ 720 KB แล้วเพิ่มความจุเป็น 1.44 และ 2.88 MB ตามลำดับ ดิสก์ไดร์ฟทั้งสองขนาดจะสามารถอ่านและเขียนแผ่นดิสเกตต์ที่มี ความจุต่ำกว่าได้ แต่ในปัจจุบันจะใช้เพียงดิสก์ไดร์ฟขนาด 2.5 นิ้ว ความจุ 1.44 MB เท่านั้น
จอมอนิเตอร์ (MONITOR)
เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงผลการทำงานของคอมพิวเตอร์ จอภาพที่ดีควรแสดงผลได้ละเอียดที่ 800 x 600 จุดขึ้นไป และมีอัตรรีเฟรซ เรท สูงพอที่ไม่ทำให้ภาพเกิดการกระพริบ เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดตา ในระหว่างการทำงาน จอภาพทั่วไปมี 2 แบบ คือ CRT เป็นจอภาพที่ใช้กันส่วนใหญ่ ภาพเกิดจากการยิงของลำแสงอิเลคตรอนไปกระทบกับสารเรืองแสงบนหน้าจอ จอชนิดนี้จะมีขนานใหญ่และหนาส่วน จอภาพอีกชนิดหนึ่งคือ LCD เป็นจอลักษณะ บางแบน มีน้ำหนักเบา ส่วนใหญ่ใช้กับเครื่องโน๊ตบุ๊ก
มอนิเตอร์ (Monitor) หรือจอภาพ เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นมากอีกอย่างหนึ่ง เป็นอุปกรณ์ที่แสดงให้เห็นการทำงานของเครื่องและ โปรแกรมต่าง ๆ การจัดรูปแบบของข้อความ และข้อมูล
ซีพียู
มีหน้าที่ประมวลผลคำสั่งต่าง ๆ ที่รับมาจากอุปกรณ์เช่น เมาส์และคีย์บอร์ด เมื่อประมวลผลแล้ว จะส่งผลไปให้กับอุปกรณ์ Output เช่นจอภาพ ผ่านทางการ์ดแสดงผล เสียงผ่านการ์ดเสียงพิมพ์งานด้วยเครื่องพิมพ์ ผ่านพอร์ต Parallal ซีพียูที่นิยมใช้กันในปัจจุบันเป็นของ 2 คู่แข่งแห่งค่าย Intel คือ Celeron, Pentium III และ Pentium 4 ส่วนค่าย AMD มีซีพียูที่มาแรงคือ Duron และ Thunderbird
ซีพียู CPU คือ อุปกรณ์ตัวหนึ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นในการทำงานของคอมพิวเตอร์ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นหัวใจของคอมพิวเตอร์เลยก็ได้ซีพียูเป็นตัวควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ใจคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่ต่อร่วมกับคอมพิวเตอร์โดยจะเป็นตัวกำหนดความสำคัญของอุปกรณ์ว่าตัวใดมีความสำคัญมากกว่าซึ่งหากติดตั้งอุปกรณ์ 2 ตัวที่อินเทอรัพ, การแจ้งกับซีพียูว่าจะขอเฉพาะอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมากกว่าเท่านั้น ส่วนตัวที่สำคัญน้อยกว่าจะไม่สามารถใช้งานได้ เช่น ถ้าเราต่อการ์ดจอภาพกับการ์ดเสียงที่อินเทอรัพเดียวกัน ซีพียูจะเลือกให้ใช้ได้เฉพาะการ์ดจอภาพเท่านั้น
ตระกูลของซีพียู
ซีพียูที่มีจำหน่ายในท้องตลาดอย่างแพร่หลายมีอยู่ 3 ตระกูล คือ
๑. Intel
2. AMD
๒. Cyrix
องค์ประกอบของซีพียู
ลักษณะของตัวซีพียู จะหมายถึง รูปร่างหรือแบบของซีพียูที่ถูกผลิตออกมา ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ
1. แบบการ์ดหรือตลับ
มีลักษณะเป็นแผงหรือตลับสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านล่างมีหน้าสัมผัสสำหรับเสียบลงบนช่องต่อบนเมนบอร์ด ซึ่งเรียกว่า สล็อต (Slot)
2. แบบชิป PGA
มีลักษณะเป็นแผ่นชิปบาง ๆ มักเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้านหลังจะมีขาเสียบ โดยรอบสำหรับเสียบลงช่องต่อบนเมนบอร์ด ซึ่งเรียกว่า ซ็อกเก็ต (Socket)
ลักษณะการเชื่อมต่อของซีพียูกับเมนบอร์ด
ลักษณะของซีพียูนี้จะมีผลโดยตรงกับการเลือกเมนบอร์ด โดยทั้งซีพียูและเมนบอร์ดจะต้องมีลักษณะการต่อเชื่อม ที่เหมือนกัน ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 ลักษณะดังกล่าวมาแล้ว คือ
1. แบบสล็อต (Slot)
สำหรับเสียบซีพียูแบบการ์ดหรือตลับ ซึ่งปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ Slot 1 ที่ใช้กับซีพียูของค่ายอินเทล และ Slot A ที่ใช้กับซีพียูของค่ายเอเอ็มดี
ใช้กับ Pentium II, III, และ Celeron ของอินเทล
ใช้กับ Athlon ของเอเอ็มดี
2. แบบซ็อกเก็ต (Socket)
สำหรับเสียบซีพียูแบบชิป PGA ซึ่งปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ เช่น Socket 7, Socket 370 สำหรับซีพียูของค่ายอินเทลและ Socket A สำหรับซีพียูของค่าย AMD
ฮาร์ดดิสก์ (HARDDISK DRIVE)
เป็นอุปกรณ์หลักสำหรับเก็บข้อมูลโปรแกรมระบบปฏิบัติการและโปรแกรมใช้งานต่างๆ ความเร็วของฮาร์ดดิสก์ มีผลต่อความเร็วรวมของเครื่องเช่นกันซึ่งความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์มาจากส่วนประกอบ 2 ส่วนคือ
· ความเร็วรอบมีหน่วยเป็น rpm โดยในปัจจุบันนี้ฮาร์ดดิสก์ส่วนใหญ่จะมีความเร็วรอบตั้งแต่ 5,400 รอบต่อนาที ถึง 15,000 รอบต่อนาที ถ้าความเร็วรอบสูงขึ้น ข้อมูลจะผ่านหัวอ่านเขียนได้เร็วขึ้นความเร็วโดยรวมจะดีขึ้น แต่จะมีราคาสูงด้วยเช่นกัน
· อัตราการส่งผ่านข้อมูล หมายถึงปริมาณข้อมูล ที่ถูกส่งผ่านภายในเวลา 1 วินาที ซึ่งบ่งบอกได้ด้วยมาตรฐาน เช่น ATA-33, ATA-66 และ ATA-100
ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (Hard Disk Drive) หรือชุดจานแม่เหล็กชนิดแข็ง เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญและจำเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ต้องมีใจเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในปัจจุบัน เนื่องจากโปรแกรมส่วนใหญ่จะมีความจุมาก และความเร็วในการอ่าน และเขียนข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ จะสูงกว่าการอ่านและเขียนบนแผ่นดิสก์มาก
ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้กันในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ แบบไอดีอี (IDE) และแบบ สกัสซี่ (SCSI) IDE เป็นฮาร์ดดิสก์ที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ จะใช้ฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุสูงสุดเพียง 528 MB และต่อฮาร์ดดิสก์ก็ได้เพียง 2 ตัวเท่านั้น ต่อมามีการพัฒนาให้ใช้ได้ สูงกว่านั้น เรียกว่า เอนฮานซ์ไอดีอี สามารถต่อฮาร์ดดิสก์ได้ 4 ตัว ในเครื่องเดียว มีความเร็วในการค้นหา และอ่านข้อมูลเพิ่มขึ้น ในปัจจุบันในการใช้ฮาร์ดดิสก์ให้มีความเร็วได้เต็มที่นั้นเมนบอร์ดจะต้องรับการทำงานของฮาร์ดดิสก์นั้นด้วย
สกัสซี่ เป็นฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วสูง ทนทาน และราคาแพงเหมาะสำหรับใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานหนัก เช่น FileServer ที่เปิดใช้งานตลอดเวลา สามารถเชื่อมต่อกันได้ถึง 7 ตัวในเครื่องเดียวกัน โดยปกติเมนบอร์ดจะไม่มี I/O ที่สามารถต่อกับฮาร์ดดิสก์แบบ SCSI ได้โดยตรง ต้องใช้ Interface Card หรือ SCSI Controller Card ต่อเชื่อมระหว่างเมนบอร์ดกับฮาร์ดดิสก์แบบ SCSI
2
1
รายละเอียดบนตัวฮาร์ดดิสก์
๑. รุ่นของฮาร์ดดิสก์ จำนวน CYLINDER, HEAD และ SECTOR SIZE ของฮาร์ดดิสก์
๒. จัมเปอร์ สำหรับตั้งค่าการใช้งาน
แรม (RAM)
ย่อมาจาก Ramdom Access Memory เป็นหน่วยความจำหลักของเครื่องมีความเร็วในการทำงานสูงแต่มีข้อเสียคือ สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้ขณะที่เปิดเครื่องอยู่เท่านั้น ถ้าปิดเครื่องข้อมูลก็จะหายไป แรมแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
· SRAM ทำจากทรานซิสเตอร์ กินไฟมากมีความเร็วสูง แต่เนื่องจากมีราคาแพงมาก จึงมักใช้ทำเป็นหน่วยความจำแคชสำหรับเมนบอร์ด และซีพียู
· DRAM เป็นหน่วยความจำที่สร้างขึ้นโดยใช้สถานะ “มีประจุ” และ“ไม่มีประจุ” เป็นหลักในการเก็บข้อมูลซึ่งกินไปน้อยและราคาถูกกว่า SRAM จึงนิยมนำมาใช้ทำเป็นหน่วยความจำ หลักในเครื่องคอมพิวเตอร์ การทำงานของDRAM จะต้องทาการเติมประจุตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อไม่ให้ข้อมูลสูญหายไปเรียกว่าการ “Refresh”
แรมที่ใช้เป็นหน่วยความจำหลักในคอมพิวเตอร์คือ DRAM ซึ่งมีหลายแบบ แต่ที่นิยมใช้กัน
มี 2 แบบคือ EDO DRAM และ SDRAM
· EDO DRAM เป็น DRAM ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความเร็วสูงขึ้นนิยมใช้ในเครื่องรุ่น 486, Pentium
· SDRAM เนื่องจากEDO RAM ไม่สามารถทำงานได้ที่ความถี่เกินกว่า 66 MHz ดังนั้นในเครื่องที่ใช้ซีพียูรุ่นใหม่ที่ใช้ความถี่บัสเป็น 100 – 133 MHz จึงหันมาใช้ SDRAM แทน เพราะสามารถทำงานร่วมกับซีพียูได้เร็วกว่าทำให้ซีพียูไม่ต้องรอคอยการทำงานของแรมอีกต่อไปเรียกว่าภาวะ “Wait State”
ในปัจจุบันแทนที่จะบอกความเร็วของ SDRAM หรือที่เรียกกันว่า access time ว่าเป็นกี่ ns
( 1 ns = 1 / 1,000 วินาที ) กลับแสดงออกมาเป็นความเร็วของระบบบัสแทนเช่น PC – 66, PC – 100, PC – 133 หมายถึงมีความเร็วเท่ากับระบบบัส 66 , 100 และ 133 MHz ตามลำดับ
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำชั่วคราว โดยจะเป็นที่พักข้อมูลในการทำงานแต่ละขั้นตอน เช่น การอ่านข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ไปพักไว้ที่แรมก่อนที่จะแสดงผลออกทางจอภาพ หรือพักข้อมูลไว้ในการสั่งพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ หรืออาจจะใช้งานหลายโปรแกรมในเวลาเดียวกัน
ชนิดของแรม
แรมมีความจุเป็นไบท์ และมีหลายประเภทมีการพัฒนาทั้งทางด้านความเร็วหลายประเภทมีการพัฒนาทั้งทางด้านความเร็ว และความจุดังนี้
๑. DRAM เป็นแรมที่มีความเร็ว และความจุน้อยที่สุด
๒. EDO RAM พัฒนาขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการแสดงผลทางด้านกราฟฟิค และถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับเครื่องระดับ Penrium ใช้กับเมนบอร์ดซ็อกเก็ต 7 โดยใช้กับช่องเสียบในแบบ SIMM ที่มีหน้าที่สัมผัสด้านเดียว จึงต้องใส่เป็นคู่
๓. SDRAM เป็นหน่วยความจำที่ทำงานเร็วกว่าและมีช่องสัญญาณ มากกว่า DRAM และ EDO RAM ออกแบบมาให้ใช้กับเมนบอร์ดที่เป็นสล็อต 1 และซ็อกเก็ต 7 บางรุ่นโดยใช้กับช่องเสียบในแบบ DIMM ที่มีหน้าสัมผัส 2 หน้า จึงใส่ที่ละแผงได้
๔. DDR SDRAM เป็นแรมที่พัฒนามาจาก SDRAM เพื่อให้มีความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
๕. RDRAM เป็นแรมแบบใหม่ที่มีความเร็วสูง ที่คาดว่าจะเข้ามาแทนที่ SDRAM แต่จะต้องใช้กับช่องเสียบในแบบ RIMM ด้วย
จำนวนจุดต่อของแรม ซึ่งในการผลิตครั้งแรก ๆ จะมีลักษณะเป็นขาเสียบ ต่อมาได้ยกเลิก
แล้วใช้เป็นแบบหน้าสัมผัส แต่ก็ยังเรียกเหมือนกัน
SIMM RAM จะมีจุดต่อ 30 และ 72 PIN
EDO RAM จะมีจุดต่อ 72 PIN
SDRAM จะมีจุดต่อ 168 PIN
ในปัจจุบันเมนบอร์ดจะถูกออกแบบมาให้ใช้กับ SDRAM เพียงอย่างเดียว แต่ SDRAM แต่ละรุ่นจะมีความสามารถในการทำงานไม่เท่ากัน คือ
PC66 คือ SDRAM ที่สามารถทำงานได้ถึงความเร็วสูงสุด 66 MHz.
PC100 คือ SDRAM ที่สามารถทำงานได้ถึงความเร็วสูงสุด 100 MHz.
PC133 คือ SDRAM ที่สามารถทำงานได้ถึงความเร็วสูงสุด 133 MHz.
ส่วนประกอบบนตัวแรม
2
3
1
รูปรายละเอียดบนแรม
1. SD32 MB. = SDRAM ความจุ 32 MB.
2. PC100 = BUS ของ RAM
3. –7, -10 = ความเร็วของ RAM หน่วยเป็น nsec
คีย์บอร์ด (KEYBOARD)
คีย์บอร์ด (Keyboard) หรือ แป้นพิมพ์ เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นมากในการพิมพ์คำสั่งต่าง ๆ เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน และยังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับป้อนข้อมูลในการใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ รวมทั้งมีการพัฒนาให้มีการเปิดปิดเครื่องผ่านทางแป้นพิมพ์ และนำอุปกรณ์อื่น ๆ มาติดตั้งเพิ่มขึ้น เช่น เมาส์ (Mouse) ชนิดที่เรียกว่า Trackball ไว้บนแป้นพิมพ์ด้วย
Serial Keyboard
PS/2 Keyboard
แป้นพิมพ์ จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ตามประเภทของหัวเสียบ ได้แก่ Serial Keyboard เป็นแป้นพิมพ์ที่มีหัวเสียบขนาดใหญ่ ใช้มาตั้งแต่สมัยเริ่มแรกถึงปัจจุบัน และแบบ PS/2 Keyvoard เป็นแป้นพิมพ์ที่มีหัวเสียบขนาดเล็ก ส่วนใหญ่จะใช้กับเมนบอร์ดแบบ ATX เพื่อประหยัดพื้นที่ในการใช้งาน แต่การทำงานของแป้นพิมพ์ทั้ง 2 แบบจะเหมือนกันทุกอย่าง
การ์ดแสดงผล (DISPLAY CARD)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ สำหรับแปลงสัญญาณภาพแบบดิจิตอล ไปเป็นสัญญาณแบบอะนาล็อค เพื่อแสดงผลบนหน้าจอมอนิเตอร์ การ์ดแสดงผลที่ดี จะช่วยให้เครื่องสามารถแสดงผลภาพเคลื่อนไหว และภาพ 3 มิติ เช่น เกม ต่าง ๆ ได้ราบรื่นไม่เกิดการกระตุกของภาพ และแสดงผลราคาถูก
ในปัจจุบันนิยมใช้การ์ดแสดงผลแบบ AGP ซึ่งเสียบกับสล็อตแบบ AGP บนเมนบอร์ดเนื่องจากบัสแบบ AGP มีความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลสูงกว่าบัสแบบ PCI ประกอบกับมีหน่วยความจำจำนวนมากอยู่บนตัวการ์ด และทำงานโดยประสานกับซีพียู โดยตรงจึงทำให้สามารถแสดงผลได้อย่างรวดเร็ว
ดิสเพลย์การ์ด (Display Card) หรือ วีจีเอการ์ด (VGA Card) เป็นการ์ดที่มีไว้สำหรับต่อเข้ากับจอภาพ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวส่งสัญญาณให้ไปปรากฎที่จอภาพเพื่อให้ผู้ใช้งานทราบถึงการทำงานของเครื่อง ดิสเพลย์การ์ดรุ่นแรกนั้นเรียกว่า โมโนโครมการ์ด จะแสดงผลได้เพียงสีเดียว มีบัสเป็นแบบ XT ต่อมาเพิ่มการแสดงผลให้เป็นสีขึ้นมา แต่จำนวนและความละเอียดของสีจะไม่มากนักเรียกการ์ดนี้ว่า ซีจีเอการ์ด (CGA Card) แสดงผลที่มีจำนวนและความละเอียดของสีมากขึ้น เรียกว่า วีจีเอการ์ด (VGA Card) การแสดงผลของวีจีเอการ์ดนี้จะขึ้นอยู่กับวีดีโอแรม และไดรเวอร์ ของการ์ดนั้นด้วย ปัจจุบันมีการแสดงผลแบบ 3 มิติ และต่อสัญญาณไปเข้ากับโทรศัพท์ด้วย จึงมีการสร้างบัสที่สามารถแสดงผลได้เร็วและคมชัดเรียกว่า เอจีพีบัส (AGP Bus) ส่วนวีจีเอการ์ดที่ติดตั้งมาบนเมนบอร์ดนั้นจะเป็นบัสแบบใดขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิต และในเมนบอร์ดบางรุ่นจะใช้แรมของระบบไปใช้เป็นวีดีโอแรมด้วยหากใช้เมนบอร์ดแบบนี้ควรเพิ่มแรมสำหรับใช้เป็นวีดีโอแรมด้วย
การ์ดเสียง (SOUND CARD)
เนื่องจากคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันสามารถแสดงผลได้ทั้งภาพและเสียงเรียกว่า มีมัลติมีเดีย ดังนั้นการ์ดเสียงจึงเป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน การ์ดเสียงมีหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิตอล ทีประมวลผลจากซีพียู ให้เป็นสัญญาณเสียง และสามารุรับฟังได้ผ่านทางลำโพง
การ์ดเสียงที่ดี จะมีการสร้างเสียงสังเคราะห์ เลียนเสียงธรรมชาติ หรือเสียงเครื่องดนตรีต่าง ๆ ทำให้สามารถเล่นเพลงให้เสียงสมจริง และควรสนับสนุนช่องเสียงหลายช่อง ซึ่งในปัจจุบันมักมีถึง 4 แซนแนล
ซาวน์การ์ด (Sound card) หรือการ์ดเสียง เป็นการ์ดที่สร้างขึ้นมาโดยนำอุปกรณ์ทางด้านอิเล็คทรอนิคส์มาประกอบเพื่อสร้างเสียงต่าง ๆ ขึ้นมาให้เหมาะสมร่วมกับการแสดงผลโดยซาวน์การ์ดรุ่นแรก ๆ จะเป็นแบบ FM คือ สามารถใช้งานกับเสียงประเภท .WAV, .VOC ได้ดี และต่อมาได้มีการพัฒนาให้ใช้กับไฟล์ แบบมีดีกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยการสร้างเวฟเทเบิ้ลมาติดตั้งเพิ่มบนซาวน์การ์ดเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้ และในซาวน์การ์ดบางรุ่นจะเพิ่มระบบ 3 มิติ เข้าไปด้วย โดยทั่งไปซาวน์การ์ดจะมีช่องสำหรับเสียบอุปกรณ์ต่าง ๆ คือ Line Out เป็นจุดที่ใช้สำหรือต่อสัญญาณไปเข้าเครื่องขยายเสียง Speaker Out เป็นช่องสำหรับต่อเสียงไปเข้าลำโพง MIC In เป็นช่องสำหรือต่อไมโครโฟน Line In เป็นช่องสำหรับต่อสัญญาณเสียงจากภายนอกเพื่อให้ซาวน์การ์ดเป็นตัวขยายเสียง และ Game Port สำหรับต่อจอยสติกสำหรับเล่นเกมส์ ซาวน์การ์ดโดยทั่วไปจะมีบัสเป็นแบบ ISA Bus และ PCI Bus เท่านั้นในเมนบอร์ดบางรุ่นจะนำซาวน์การ์ดนี้ไปติดตั้งไว้บนเมนบอร์ด และจะเป็นซาวน์การ์ดแบบไม่มีเวฟ-เทเบิ้ล และข้อเสียของซาวน์การ์ดแบบออนบอร์ดก็คือ สัญญาณเสียงจะเบาไม่สามารถต่อเข้ากับลำโพงที่ไม่มีการขยายเสียงได้
พรินเตอร์ (PRINTER )
พรินเตอร์ (Printer) หรือ เครื่องพิมพ์ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแสดงผลออกมาทาง
หน้ากระดาษ
ชนิดของเครื่องพิมพ์
เครื่องพิมพ์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
๑. เครื่องพิมพ์แบบเข็มกระแทกผ้าหมึก
มีหลักการทำงานคล้ายกับเครื่องพิมพ์ดีด แต่จะไม่พิมพ์ทีละตัว แต่จะพิมพ์เป็นจุดมา
ประกอบเป็นตัวอักษรเครื่องพิมพ์ชนิดนี้มีเสียงดัง ราคาค่อนข้างแพง แต่ราคาผ้าหมึกจะถูก มีข้อดีคือสามารถพิมพ์กระดาษที่มีสำเนาหลาย ๆ ชั้นได้ ส่วนมากจะพิมพ์ได้แต่สีดำอย่างเดียว และบางรุ่นสามารถพิมพ์กระดาษที่มีสำเนาหลาย ๆ ชั้นได้ ส่วนมากจะพิมพ์ได้แต่สีดำอย่างเดียว และบางรุ่นสามารถพิมพ์กระดาษที่มีความกว้างได้
๒. เครื่องพิมพ์แบบ INK JET
อาจมีชื่อเรียกหลายอย่างแล้วแต่ผู้ผลิต จะตั้งขึ้นมาเช่น DESK JET , BUBBLE JET เป็นเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก โดยจะพ่นเป็นจุดเล็ก ๆ ประกอบเป็นตัวอักษร พิมพ์ได้ทั้งสีและดำ เสียงค่อนข้างเบา ราคาค่อนข้างถูก แต่หมึกค่อนข้างแพง ส่วนมากจะพิมพ์ได้เฉพาะกระดาษขนาด A4 เท่านั้น
๓. เครื่องพิมพ์แบบ LASER
มีหลักการทำงานเหมือนกับเครื่องถ่ายเอกสาร โดยใช้แสงเลเซอร์ยิงไปที่กระดาษให้เกิดความร้อนแล้วปล่อยผงหมึกไปติดกับกระดาษที่ยังร้อน ทำให้หมึกติดกระดาษ เครื่องพิมพ์ชนิดนี้จะมีเสียงเบามาก ความคมชัดสูง ความเร็วค่อนข้างสูง ตัวเครื่องและหมึกมีราคาแพงส่วนมากจะพิมพ์ได้เฉพาะกระดาษ A4 และพิมพ์สีดำส่วนเครื่องที่พิมพ์เป็นสีได้จะมีราคาแพงมาก
สแกนเนอร์ (SCANNER)
สแกนเนอร์ (Scanner) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดภาพจากแผ่นกระดาษ หรือวัสดุอื่นนำมาจัดเก็บเป็นแฟ้มข้อมูล เพื่อที่การพิมพ์ออกทางหน้ากระดาษ หรือเก็บไว้เพื่อประโยชน์อื่น โดยจะถ่ายทอดออกมาได้ทั้งภาพและข้อความ
ชนิดของสแกนเนอร์
สแกนเนอร์จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
สแกนเนอร์มือถือ
เป็นสแกนเนอร์ขนาดเล็กให้รายละเอียดในการถ่ายทอดภาพได้ไม่ดีนักเนื่องจากต้องใช้มือเลื่อนขณะทำการสแกน
สแกนเนอร์แบบตั้งโต๊ะ
สามารถถ่ายทอดภาพให้ออกมามีรายละเอียดสูง และได้ขนาดใหญ่กว่าแบบมือถือ
เมนบอร์ด (MAINBOARD)
เมนบอร์ดเป็นแผ่นวงจร PCB มีอุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์ต่าง ๆ ทำงานอยู่ร่วมกัน รวมทั้งมี
สล็อดและซ็อคเก็ตสำหรับเสียบใส่อุปกรณ์ได้แก่ ซีพียู ฮาร์ดดิก์ แรม และการ์ดเสียบเพิ่มอยู่ด้วยกันเพื่อประสานการทำงานระหว่างกัน โดยมีบัส ซึ่งเป็นเสมือนถนนทางด่วนข้อมูลเป็นตัวเชื่อมต่อ
เมนบอร์ด (Mainboard) หรือ มาเธอร์บอร์ด (MotherBoard) เป็นแผงวงจรหลักที่มีอุปกรณ์ต่าง ๆ ติดตั้งอยู่ เช่น ช่องสำหรับเสียบแผงวงจรต่อออกภายนอก สำหรับควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ , สล็อต หรือ ซ็อกเก็ต สำหรับติดตั้งหน่วยความจำ , ซ็อกเก็ต หรือ สล็อต สำหรับติตตั้งซีพียูโดยจะมีซีพียูที่นำมาติดตั้งเป็นตัวควบคุมการทำงานของอุปกรณ์แต่ละชนิด แมนบอร์ดรุ่นแรก ๆ จะมีเพียงซีพียู , แรม , ช่องต่อขยาย , จุดต่อ สำหรับต่อแป้นพิมพ์เท่านั้น ต่อมามีกาพัฒนานำอุปกรณ์ต่าง ๆ มาติดตั้งเพิ่มไว้บนเมนบอร์ด เรียกว่า อุปกรณ์แบบออนบอร์ด โดยเริ่มจาก I/O (Input/Output) ซึ่งได้แก่อุปกรณ์ที่ทำการติดต่อกับดิสก์ไดร์ฟ, ฮาร์ดดิสก์, พอร์ตสื่อสาร แล้วเพิ่มการ์ดแสดงผลทางจอภาพ โดยจะมีทั้งที่ติดตั้งหน่วยความจำที่ใช้เป็น Video RAM ไว้บนเมนบอร์ด และใช้หน่วยความจำหลักไปเป็น Video RAM การใช้งานทางด้านเสียง การับส่งข้อมูล
ทางอนาลอก เช่น FAX/MODEM รวมไปถึงการต่อระบบเครือข่าย
ชนิดของเมนบอร์ด
เมนบอร์ดที่มีจำหน่ายในท้องตลาดในปัจจบันมีมากมายหลายรุ่นหลายยี่ห้อ ในการแยกประเภทหรือชนิดของเมนบอร์ดนั้นคงต้องใช้ต้องใช้หลักการเชื่อมต่อของซีพียูเข้ากับเมนบอร์ดเป็นตัวกำหนด ซึ่งจะแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือแบบสล็อตกับแบบซ็อกเก็ต
เมนบอร์ดที่ใช้การเชื่อต่อแบบสล็อตในปัจจุบันหาซื้อได้ยากแล้ว เนื่องจากซีพียูแบบตลับที่ใช้เสียบกับสล็อตเลิกผลิตแล้ว คงมีเพียงที่ผลิตออกมารองรับซีพียูเดิม เมนบอร์ดที่ใช้การต่อเชื่อมแบบซ็อกเก็ตในปัจจุบันมีออกมาแข่งขันกันจำนวนมากมีตั้งแต่ซ็อกเก็ต 7 ที่ใช้กับซีพียูเอเอ็มดี K6-2 และK6-3 ซ็อกเก็ต 370 ที่ใช้กับอินเทล Celeron และ Pentium III และซ็อกเก็ต A สำหรับซีพียู Duron และ Thunderbird
เมาส์ (MOUSE)
เมาส์ (Mouse) เป็นอุปกรณ์สำหรับเลือกและป้อนคำสั่ง ปกติจะมี 2 ปุ่ม และ 3 ปุ่ม แต่ส่วนมากจะใช้เพียง 2 ปุ่ม ปุ่มขวาใช้สำหรับเรียกคำสั่งลัด หรือคำสั่งเกี่ยวกับการทำงานตรงส่วนนั้น ๆ ปุ่มซ้ายใช้สำหรับเลือกและใช้คำสั่งเมาส์ได้ถูกพัฒนาให้มีตัวเลื่อนอยู่ตรงกลางระหว่างปุ่มหรือด้านข้างของตัวเมาส์ใช้สำหรับเลื่อนดูข้อมูลบนหน้าจอขึ้นลงเมื่ออยู่ในอินเตอร์เน็ต ด้านล่างของเมาส์ จะมีลูกกลิ้งยางเป็นตัวบังคับอุปกรณ์ภายในให้เคลื่อนที่เกิดการเปลี่ยนแปลตำแหน่งที่ชี้ เมื่อใช้งานนาน ๆ อุปกรณ์ที่สัมผัสกับลูกกลิ้งยางจะสกปรกเนื่องจากมีฝุ่นเกาะ ทำให้เลื่อนไม่สะดวก ต้องทำความสะอาดด้วย การเช็ดสิ่งสกปรกออก
Serial Mouse
PS/2 Mouse
เมาส์แบ่งออกเป็นหลายแบบ Serial Mouse เป็นเมาส์ที่ต่อกับพอร์ต COM 1 หรือ COM 2 PS/2 Mouse เป็นเมาส์ที่ทำงานเหมือนกับ Serial Mouse แต่มีการเปลี่ยนหัวเสียบมาเป็นแบบ PS/2 Track ball จะเหมือนกับเมาส์ทุกอย่างแต่จะหงายลูกกลิ้งยางขึ้นเพื่อให้ใช้นิ้วหมุนลูกกลิ้งยาง และมีปุ่มสำหรับเลือกคำสั่งอยู่ข้าง ๆ Infrared Mouse เป็นเมาส์ไร้สายส่งสัญญาณผ่านแสงอินฟาเรด ส่วนมากจะใช้กับการนำเสนอข้อมูลการเรียนการสอนที่ผู้ใช้เมาส์ไม่จำเป็นต้องอยู่หน้าเครื่องตลอดเวลา
ซีดีรอมไดร์ฟ (CD-ROM DRIVE)
ซีดีรอมไดร์ฟ (CD-ROM Drive) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดี มีความจำเป็นต้องใช้มากสำหรับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน เนื่องจากข้อมูล หรือโปรแกรมส่วนมากจะมีขนาดใหญ่ จะต้องบันทึกไว้ในแผ่นซีดี ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลจะแตกต่างกันออกไปตามความเร็วของซีดีรอมไดร์ฟแต่ละตัว ซีดีรอมไดร์ฟจะมีทั้งแบบติดตั้งภายในที่ติดตั้งถาวรไว้กับตัวเครื่อง ไม่เหมาะสำหรับการเคลื่อนย้ายบ่อย ๆ และแบบติดตั้งภายนอก จะต่อกับตัวเครื่องโดยใช้สายสัญญาณเป็นตัวต่อเชื่อมเหมาะสำหรับการเคลื่อนย้ายบ่อย ๆ ทั้งสองแบบยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ IDE และ SCSI ส่วนใหญ่ IDE จะใช้สำหรับติดตั้งภายนอก และมักจะเป็นแบบอ่านและบันทึก
geovisit();
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)